ดัชนีเชื่อมั่นอุตฯ เม.ย.ปรับลงจากเดือนก่อนหน้า กังวลต้นทุนการผลิต-กำลังซื้อชะลอฉุด

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนเมษายน 2565 อยู่ที่ระดับ 86.2 ปรับตัวลดลงจากระดับ 89.2 ในเดือนมีนาคม โดยค่าดัชนีฯ ปรับตัวลดลงต่ำสุดในรอบ 5 เดือน

ปัจจัยที่ส่งผลลบต่อความเชื่อมั่นผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม ได้แก่ ความกังวลเกี่ยวกับต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้น ทั้งจากราคาวัดถุดิบ ราคาพลังงาน รวมถึงค่าขนส่ง ขณะที่กำลังซื้อในประเทศชะลอตัวจากปัญหาเงินเฟ้อ และหนี้ครัวเรือน ส่งผลให้ประชาชนระมัดระวังการใช้จ่ายและอุปสงค์ในประเทศชะลอตัวลง นอกจากนี้ วันหยุดในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ทำให้การผลิตลดลง

ในด้านการส่งออก สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเชีย-ยูเครน ทวีความรุนแรงขึ้น ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจการค้าโลก รวมทั้งกระทบต่อราคาสินค้านำเข้าประเภทวัตถุดิบอาหารสัตว์ ปุ๋ยเคมี สินค้ากลุ่มโลหะ เป็นตัน อย่างไรก็ตาม ปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ที่ยังไม่คลี่คลาย และ Space บนเรือไม่เพียงพอต่อความต้องการส่งออกสินค้า รวมทั้งความล่าช้าของเรือขนส่งยังเป็นปัจจัยกดดันต่อภาคการส่งออก อีกทั้งปัจจัยค่าเงินบาทที่อ่อนค่าสุดในรอบ 5 ปี แม้จะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้ผู้ส่งออกก็ตาม แต่สิ่งที่น่ากังวล คือ เงินบาทที่อ่อนจะส่งผลให้ต้นทุนการนำเข้าสินค้าและวัตถุดิบต่าง ๆ โดยเฉพาะสินค้าน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นจนอาจยิ่งเร่งให้เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นอีกได้

โดยปัจจัยที่ผู้ประกอบการมีความกังวลเพิ่มขึ้น ได้แก่ ราคาน้ำมัน, สถานการณ์ระบาดของโควิด-19, สภาวะเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจในประเทศ ส่วนปัจจัยที่มีความกังวลลดลง ได้แก่ อัตราแลกเปลี่ยน (มุมมองผู้ส่งออก), สถานการณ์การเมืองในประเทศ และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้

สำหรับดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 95.9 ปรับตัวลดลงจาก 99.6 ในเดือนมีนาคม เนื่องจากผู้ประกอบการมีความกังวลเกี่ยวกับราคาน้ำมันดีเซลที่ปรับตัวสูงขึ้น ภายหลังจากภาครัฐลดการอุดหนุนราคา โดยจะปรับขึ้นแบบขั้นบันไดจนถึง 35 บาทต่อลิตร รวมถึงมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียของชาติตะวันตก จะทำให้ราคาพลังงานในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะกระทบต้นทุนการผลิตและค่าขนส่ง ขณะที่สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเชีย-ยูเครน ที่ยังคงยืดเยื้อ อาจส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง

นอกจากนี้ นโยบายปิดเมืองของจีนเพื่อควบคุมการระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้การขนส่งสินค้ามีความล่าช้า รวมถึงเกิดปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบ และส่งผลกระทบต่อ Supply Chain ในตลาดโลก แต่อย่างไรก็ตาม การยกเลิกระบบ Test & Go เพื่อเปิดประเทศเต็มรูปแบบในวันที่ 1 พฤษภาคม 2565 จะสนับสนุนให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศมากขึ้น และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศในระยะต่อไป

ทั้งนี้ ภาคเอกชนได้มีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ ดังนี้

1. ตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่เกิน 35 บาท/ลิตร เป็นเวลา 3 เดือน เพื่อบรรเทาผลกระทบด้านต้นทุนการผลิตให้ผู้ประกอบการ

2. ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพประชาชน อาทิ โครงการคนละครึ่งเฟส 5 และขยายจำนวนสิทธิโครงการเราเที่ยวด้วยกัน

3. สนับสนุนและส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงด้านห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Security) ที่มีความสำคัญกับเศรษฐกิจ เช่น อุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศ อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ

4. ดูแลเสถียรภาพค่าเงินบาทไม่ให้ผันผวนจนเกินไป และให้สอดคล้องกับประเทศอื่นในภูมิภาค เพื่อให้สามารถแข่งขันได้

5. ออกมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวและอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายหลังการเปิดประเทศ

ประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า หลังเปิดประเทศในวันที่ 1 พ.ค.65 แล้วจะมีอีกหนึ่งเครื่องจักรอีกที่มาขับเคลื่อนเศรษฐกิจ คือ การท่องเที่ยว ซึ่งจะเป็นเครื่องจักรอีกตัวที่มาช่วยสร้างรายได้เข้าประเทศ นอกเหนือจากการส่งออกเพียงอย่างเดียวในช่วงเกิดวิกฤตโควิด-19 ที่ผ่านมา โดยคาดการณ์ว่าในช่วงครึ่งหลังปี 65 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยราว 6-8 ล้านคน ซึ่งจะช่วยให้เกิดการจ้างงาน และการเพิ่มการบริโภคในประเทศ

ส่วนกรณีคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้ขยายเวลาลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลออกไปอีก 2 เดือนนั้น ถือเป็นเรื่องดีที่อยู่เหนือความคาดหมาย และเป็นการใช้ยาแรงเพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ซึ่ง ส.อ.ท.อยากให้ขยายเวลาเพิ่มอีก 2 เดือน รวมเป็น 4 เดือน เพื่อให้สามารถตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกินลิตรละ 32 บาทไว้นานที่สุด ขณะเดียวกัน ก็ต้องมีมาตรการที่ให้ทุกฝ่ายร่วมมือกัน เช่น การประหยัดพลังงาน

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18 พ.ค. 65)

Tags: , ,
Back to Top