ALL จับมือพันธมิตรอิสราเอลลุยธุรกิจเทรดคาร์บอนเครดิตหวังดันเข้าตลาดหุ้นปี 69

นายธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ (ALL) เปิดเผยว่า บริษัทได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) จัดตั้งธุรกิจคาร์บอนเครดิตในประเทศไทย กับบริษัท Global Sustainable instrument (GSI) ซึ่งเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มจัดการธุรกิจซื้อขายคาร์บอนเครดิตด้วยบล็อกเชนรายแรกของโลกจากอิสราเอลที่มีมูลค่าการซื้อขายกว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ/ปี

ทั้งนี้ ALL เป็นนักลงทุนรายแรกของประเทศไทยที่เข้าสู่ธุรกิจคาร์บอนเครดิต โดยการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนใหม่จะประกอบด้วย บริษัทร่วมทุนในประเทศไทยและในสิงคโปร์เพื่อครอบคลุมธุรกิจทั้งภายในประเทศไทยและในภูมิภาค

ในช่วงไตรมาส 4/64 ถึงไตรมาส 1/65 บริษัทได้ทำการสร้างทีมบริหารจัดการ และ Partnership Agreement ขณะที่ไตรมาส 2/65 ถึงไตรมาส 3/65 จะเป็นการพัฒนาระบบ infrastructure ของแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชันที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ จากนั้นคาดว่าจะเปิดตัว Marketplace หรือ Platform ให้เป็นที่รู้จักและเริ่มเปิดการใช้งานให้ลูกค้าสามารถเข้ามาใช้แพลตฟอร์มได้ในช่วงทดลองในไตรมาส 3/65 และจะดำเนินการพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพเพิ่มฟีเจอร์การทำงานต่างๆให้เต็มรูปแบบมากขึ้น ขณะที่ภายในไตรมาส 4/65 จะมีการจัดตั้งกองทุนที่เป็น Investment Fund เพื่อเข้าลงทุนในธุรกิจดังกล่าวเพิ่มเติมต่อไป

ธุรกิจการคาร์บอนเครดิตยังเป็นธุรกิจที่ให้มาร์จิ้นที่สูง 60-70% โดยจะมีรายได้จากการจัดตั้งกองทุนในการรวบรวมซื้อคาร์บอนเครดิตจากองค์กรต่างๆ ที่ต้องการนำมาขาย และกองทุนจะนำไปขายต่อให้กับองค์กรที่มีความต้องการซื้อคาร์บอนเครดิต ซึ่งเป็นการขายส่ง (Wholesale) แบบ B2B ในตลาดต่างประเทศ ทำให้มีกำไรจากส่วนต่างเข้ามาเป็นรายได้ และรายได้จากค่าธรรมเนียมการให้บริการแพลตฟอร์มซื้อขายคาร์บอนเครดิต ซึ่งเป็นรูปแบบ B2C

นายธนากร กล่าววว่า บริษัทมุ่งหวังที่จะนำบริษัทคาร์บอนเครดิตดังกล่าวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯในปี 69 ซึ่งคาดว่าจะมีรายได้ในระดับ 2 พันล้านบาท โดยในช่วงไตรมาส 4/65 หลังจากเปิดให้บริการเต็มรูปแบบแล้วเชื่อว่าจะมีรายได้เข้ามาราว 6.8 ล้านบาท ก่อนเพิ่มขึ้นไปเป็น 331.4 ล้านบาทในปี 66 ซึ่งเป็นเวลาที่ครบ 1 ปีที่ดำเนินการ

ทั้งนี้ บริษัทคาดการณ์ปริมาณการซื้อ-ขายผ่าน Marketplace ของบริษัทฯ ในไตรมาส 4/65 เท่ากับ 1 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และปี 66 เท่ากับ 15.28 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า จากนั้นปี 67 เท่ากับ 28.86 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าและปี 68 เท่ากับ 44.95 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ก่อนที่ปี 69 จะอยู่ที่เท่ากับ 50.77 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

“ในปีนี้บริษัทต้องการบรรลุเป้าหมายปริมาณในการค้าคาร์บอนเครดิต (Trade Carbon credit) ไว้ที่ 1 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และตั้งแต่ไตรมาส 1/66 เป็นต้นไปพร้อมขยายธุรกิจไปสู่ Global Market ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่จะสร้างความแข็งแกร่ง หากเป็นไปตามเป้าหมาย และแผนการที่วางไว้ บริษัทมุ่งหวังที่จะนำบริษัทคาร์บอนเครดิตเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นลำดับถัดไป”นายธนากร กล่าว

นายธนากร กล่าวอีกว่า จากแผนการปรับโครงสร้างธุรกิจนั้นธุรกิจคาร์บอนเครดิตจะมีสัดส่วนรายได้ที่เข้ามาทดแทนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้กับ ALL อย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ปี 66 เป็นต้นไปชัดเจนขึ้น คาดว่าจะมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจคาร์บอนเครดิตเป็น 30% และสัดส่วนรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เดิมจะลดลงมาเป็น 10-15% และรายได้ส่วนใหญ่หลังจากนี้ราว 60% จะเป็นธุรกิจบริหารติดตามหนี้ และธุรกิจบริหารสินทร่พย์ (AMC)

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (19 พ.ค. 65)

Tags: , , ,
Back to Top