รมว.ท่องเที่ยว เร่งพลิกฟื้นส่งเสริมท่องเที่ยว ผลักดันสร้างรายได้ปี 67 กว่า 3 ล้านลบ.

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ชี้แจงการจัดทำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2566 ว่า จากการที่มีผู้อภิปรายถึงเรื่องการท่องเที่ยวและกีฬา ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยรวมทั้งทั่วโลกต้องประสบวิกฤติโควิด-19 ธุรกิจการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก โดยก่อนหน้าที่จะเกิดโควิด ในปี 62 มีนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ 39.8 ล้านคน และมีนักท่องเที่ยวในไทยถึง 190 ล้านคน มีรายได้จากการท่องเที่ยว 3.01 ล้านล้านบาท เทียบกับ GDP อยู่ที่ประมาณ 18%

ทั้งนี้ เมื่อเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 รัฐบาลได้ล็อกดาวน์ประเทศเมื่อวันที่ 25 มี.ค. 63 และคลายล็อกดาวน์วันที่ 15 มิ.ย. 63 หลังจากนั้นนายกฯ ได้สั่งการให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา หาวิธีการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ซึ่งในปี 63 ก็ได้ทำการศึกษาแล้ว แต่เนื่องจากขณะนั้นมีการระบาดของโควิดสายพันธุ์เดลตา จึงยังไม่สามารถเปิดประเทศได้ ซึ่งในปี 64 ได้มีการเปิดประเทศ โครงการภูเก็ตแซนด์บอกซ์จึงได้เริ่มต้นขึ้นวันที่ 1 ก.ค. 64 หลังจากนั้นก็เริ่มต้นระบบ Test & Go วันที่ 1 พ.ย. 64 โดยรวมในปี 64 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาประเทศไทยทั้งหมด 430,000 คน

“ถามว่าเราประสบความสำเร็จหรือไม่กับการริเริ่มเปิดประเทศที่ภูเก็ตแซนด์บอกซ์ ถ้าในเรื่องเศรษฐกิจผมเชื่อว่ายังไม่ประสบความสำเร็จ แต่ในเรื่องการเตรียมความพร้อม ไม่ว่าจะกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้เราได้ทดสอบและเรียนรู้แล้วว่า ในอนาคตเราควรเปิดประเทศอย่างไร เป็นระยะๆ ไป” นายพิพัฒน์ กล่าว

นายพิพัฒน์ กล่าวต่อว่า ในวันที่ 1 พ.ค. 65 ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ได้ทำการยกเลิกระบบ Test & Go ซึ่งขณะนี้ตั้งแต่เดือนม.ค.-พ.ค. 65 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศไทยแล้วประมาณ 1.31 ล้านคน ถือเป็นจุดเริ่มต้น ประกอบกับการระบาดของโรคโควิดเริ่มเบาบางลง และที่สำคัญคนไทยเกิน 70% ได้รับวัคซีนครบโดส 2 เข็มแล้ว

ทั้งนี้ มองประมาณการการท่องเที่ยวของไทยในไตรมาส 3/65 (มิ.ย.-ก.ย.) จะมีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นประมาณ 2.7-3 ล้านคน และในไตรมาสที่ 4/65 (ต.ค.-ธ.ค.) ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยวไทย คาดมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามามากกว่า 1 ล้านคน ซึ่งโดยประมาณการ ทั้งปี 65 จะมีนักท่องเที่ยวทั้งหมด 7-10 ล้านคน โดยมีรายได้จากการท่องเที่ยวประมาณ 1.15-1.5 ล้านล้านบาท

“เชื่อว่าในอนาคตอันใกล้นี้ ศบค. จะยกเลิกการโหลด Thailand Pass ซึ่งจะมีความสะดวกกับนักท่องเที่ยว และทำให้นักท่องเที่ยวนั้นเข้ามาเที่ยวมากขึ้น” นายพิพัฒน์ กล่าว

นายพิพัฒน์ กล่าวถึง Soft Power ว่า กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้ให้ความสำคัญ ทั้งการนำมวยไทย หรือการรำไหว้ ไปแสดงที่ต่างประเทศ รวมทั้งได้มีการประชาสัมพันธ์โนรา ซึ่งได้รับการประกาศจากยูเนสโก (UNESCO) ให้เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ โดยการจัดแสดงของศิลปินแห่งชาติที่ประเทศอิตาลีด้วย

ส่วนเรื่อง Sport Tourism ได้มีการจัดการแข่งขันนานาชาติ โดยเฉพาะ MotoGP ก็ได้จัดแข่งขันไปแล้ว 2 ครั้ง และได้รับการยกย่องว่าเป็นการจัดการแข่งขันที่มีผู้ชมมากที่สุดในโลก 2 ปีซ้อน นอกจากนี้ นายกฯ ยังให้ความสำคัญกับกีฬาวิ่งเทรล ซึ่งไทยได้รับการคัดเลือกเป็นสนามหลัก 1 ใน 3 ของโลก โดยจะจัดครั้งแรกที่ดอยสุเทพวันที่ 3-6 พ.ย. 65 ขณะเดียวกันประเทศไทยก็จะมีรายได้เพิ่มเติมจากนักกีฬาต่างประเทศจำนวนกว่า 2,000 คน

นายพิพัฒน์ กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่อง Gastronomy หรืออาหารการกินเชิงโมเลกุล ประเทศไทยได้มีการพูดคุยเรื่องนี้มาเป็นระยะเวลาหลายปีแล้ว ขณะเดียวกัน ไทยยังได้เชิญมิชลิน เพื่อให้มาดูว่าอาหารไทยในแต่ละภูมิภาค มีอาหารพื้นถิ่นที่ได้รับความนิยม และเข้าเกณฑ์มาตรฐานมีอะไรบ้าง ซึ่งขณะนี้มิชลินได้ประกาศอาหารออกมาบ้างแล้ว

ในส่วนของภาพยนตร์ ในปี 64 เป็นประวัติการณ์ว่ามีการเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ จากกองถ่ายต่างประเทศถึง 5,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นสถิติที่สูงที่สุด ในขณะที่มีการแพร่ระบาดของโควิด ประเทศไทยได้รับความสนใจ และได้รับการยอมรับว่ามีระบบการถ่ายทำภาพยนตร์ภายใต้ระบบบับเบิ้ลได้ดี

นายพิพัฒน์ กล่าวถึง การส่งเสริมกีฬาว่า ได้มีการส่งเสริมทั้งกีฬาอีสปอร์ต สเกตบอร์ด ซึ่งกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้ประกาศเป็นกีฬาอาชีพแล้ว นอกจากนี้ จะมีการส่งเสริมและการจัดแข่งขันทั่วทุกภูมิภาค เช่น กีฬาเซิร์ฟ จะจัดแข่งขันบริเวณชายฝั่งอันดามัน ซึ่งปกตินั้นเป็นฤดูมรสุม ที่มีนักท่องเที่ยวน้อย ดังนั้น การจัดแข่งขันจะทำให้นักท่องเที่ยวมากขึ้น ขณะที่กีฬาเจ็ทสกี คนไทยก็ได้ใบอนุญาตเป็นของตัวเองแล้ว ส่วนกีฬาเอกซ์ตรีม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้เริ่มดำเนินการในการหยิบยกกีฬาที่เยาวชนสนใจ มาพิจารณากติกาแล้ว

ในส่วนของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ชาวต่างชาติได้เข้ามาใช้บริการการรักษาในประเทศไทย ซึ่งถือเป็นจุดแข็งที่นักท่องเที่ยวจะเข้ามาดูแลสุขภาพในประเทศไทยพร้อมกับการท่องเที่ยว โดยเฉพาะหลังจากที่นายกฯ ได้ไปเยือนประเทศซาอุดีอาระเบีย ก็จะทำให้มีจำนวนชาวต่างชาติจากตะวันออกกลางเข้ามามากขึ้น ทดแทนนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ขณะนี้ยังไม่สามารถเดินทางมาได้

“กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้เดินทางไปทั่วประเทศไทย เพื่อดูว่าจะทำอย่างไรให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวไทย มาชดเชยส่วนที่ขาด ซึ่งปีนี้ควรจะมีรายได้จากการท่องเที่ยวตามประมาณการ ส่วนในปี 66 จะทำอย่างไรก็ได้ให้มีรายได้จากนักท่องเที่ยวถึง 2.4 ล้านล้านบาท และในปี 67 น่าจะมีรายได้จากการท่องเที่ยวเกิน 3 ล้านล้านบาท ทั้งนี้ จะทำอย่างไรให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาไทย และมีการใช้จ่ายมากขึ้น ก็เป็นเรื่องของผู้ประกอบการ และการท่องเที่ยวชุมชน ซึ่งพวกเราต้องร่วมแรงร่วมใจ ทั้งภาครัฐและเอกชน” นายพิพัฒน์ กล่าว

นายพิพัฒน์ กล่าวถึงการดูแลผู้ประกอบการว่า กระทรวงการคลัง ได้เริ่มดำเนินการเรื่องซอฟท์โลนตั้งแต่ปี 63 ส่วนกระทรวงแรงงาน ก็ได้ช่วยเหลือผู้ประกอบการในการดูแลลูกจ้างของตนเองแล้ว

“ผมคิดว่าประเทศไทยเข้าสู่สภาวะของการเริ่มต้นเดินหน้า เพื่อยกฐานะเศรษฐกิจให้ดีขึ้น ขอให้ช่วยกันคนละไม้คนละมือ ผมเชื่อว่ายังเดินหน้าไปได้ เพราะไทยยังมีเสน่ห์อีกหลายอย่าง ที่นักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศสนใจที่จะมาชิม เที่ยว ดู ซึ่งการเป็นเจ้าบ้านที่ดีเป็นประเด็นสำคัญที่สุด อย่างไรก็ดี ต้องดูแลตนเอง ไม่ละเลยหรือประมาทโควิด ผมไม่อยากเห็นการระบาดของโรคไหนอีกในไทย” นายพิพัฒน์ กล่าว

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (02 มิ.ย. 65)

Tags: , , , , , ,
Back to Top