ก.เกษตรฯ ตั้งเป้าส่งออกยางปีนี้ทะลุ 4 ล้านตัน มั่นใจยึดแชมป์ตลาดจีน

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการติดตามและเสนอมาตรการแก้ไขปัญหาราคายางและรักษาเสถียรภาพราคายาง เปิดเผยว่า ฝ่ายเศรษฐกิจยาง การยางแห่งประเทศไทย(กยท.) ได้รายงานคาดการณ์ปริมาณผลผลิตยางพารา ปี 65 มีปริมาณ 4.907 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 1.48% คาดการณ์ปริมาณการส่งออกยางพารา ปี 65 มีปริมาณ 4.218 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 2.03%

สำหรับในช่วง 4 เดือนแรกของปี 65 (ม.ค.-เม.ย.) มีปริมาณการส่งออกไปยังประเทศจีน มากที่สุด คิดเป็น 51% รองลงมาได้แก่ มาเลเซีย 9% สหรัฐอเมริกา 6% ญี่ปุ่น 6% และเกาหลีใต้ 4% ขณะที่ในปี 64 มีปริมาณการส่งออกไปยังประเทศจีน 54% รองลงมาได้แก่ มาเลเซีย 10% สหรัฐอเมริกา 6% ญี่ปุ่น 5% และเกาหลีใต้ 3% และอื่น ๆ 24%

สำหรับมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ยางของไทย ในเดือน เม.ย.65 มีมูลค่า 29,812 ล้านบาท ลดลง 0.91% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมาที่มีมูลค่า 30,087 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยทั้งบวกและลบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อเสถียรภาพราคายางและการส่งออกจากวิกฤติโควิด-19 สงครามรัสเซีย-ยูเครน ราคาน้ำมันและปุ๋ย โดยเฉพาะตลาดรัสเซียมูลค่าการส่งออกสินค้ายางจากไทยไปรัสเซีย (ม.ค.-เม.ย.) ลดลง 16% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา

สำหรับสถานการณ์ตลาดยางพาราและการนำเข้าส่งออกในประเทศจีนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดระลอกใหม่ตั้งแต่ปลายปี 64 และเริ่มคลี่คลายในขณะนี้เริ่มทรงตัวและมีแนวโน้มดีขึ้นในครึ่งหลังของปีนี้ ขณะนี้สถานการณ์โควิดในประเทศจีน เริ่มคลี่คลาย จำนวนผู้ติดเชื้อลดต่ำลงมาก เศรษฐกิจจีนเติบโต ผลักดันให้ผู้ประกอบการกลับมาฟื้นฟูการผลิต มีการขยายโรงงาน มีการลงทุนด้านอุตสาหกรรม รถไฟฟ้าเพิ่มขึ้น สถานการณ์การขนส่งทางเรือดีขึ้น แต่ก็ยังมีปัญหาค่าขนส่งผ่านทางเรือมีราคาสูง ระยะเวลาในการขนส่งทางเรือไม่แน่นอน ทำให้การขนส่งล่าช้ากว่าที่กำหนด

ขณะที่สถานการณ์เศรษฐกิจ ตลาดยางพารา โดยสรุปจากทูตเกษตรประจำสหภาพยุโรป กรุงโรม กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ออสเตรเลีย กรุงโตเกียว ลอสแอนเจลิส กรุงจาการ์ต้าและจีน พบว่า ปริมาณการนำเข้ายางพาราของประเทศต่าง ๆ และมูลค่าการส่งออกยางพาราของไทยมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น

สำหรับผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ต่อการส่งออกยางพาราของไทยส่งผลต่อการขนส่งสินค้าทางเรือ มีการปรับเส้นทางเดินเรือในบางเส้นทางและมีการปรับขึ้นค่าระวางเรือ รวมถึงทำให้ราคาสินค้าหลายรายการได้รับผลกระทบจากต้นทุนการขนส่งที่ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันด้วย

“สำหรับตลาดจีนซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของไทยนั้นสถานการณ์มีแนวโน้มดีขึ้นจากการแพร่ระบาดโควิดในจีนที่เริ่มคลี่คลายมีการขยายตัวของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าและการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ตลอดจนการปลดล็อคการล็อคดาวน์เซี่ยงไฮ้เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ที่ผ่านมา มั่นใจว่ายางไทยจะสามารถยึดแชมป์ส่งออกไปจีนได้อย่างเด็ดขาด เพราะขณะนี้สามารถครองมาร์เก็ตแชร์การนำเข้าของจีนกว่า 40% เหมือนผลไม้ไทยและทิ้งห่างอันดับ 2 ซึ่งมีมาร์เก็ตแชร์ 10 กว่าเปอร์เซ็นต์ สะท้อนถึงศักยภาพของชาวสวนยาง สถาบันยาง สหกรณ์ชาวสวนยาง ผู้ประกอบการและการยางแห่งประเทศไทย” นายอลงกรณ์ กล่าว

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังรับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานความร่วมมือในคณะกรรมการพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืน และการส่งเสริมและสนับสนุนการทำสวนยางยั่งยืน และโครงการคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) ของการยางแห่งประเทศไทย ในปีงบประมาณ 65 โดยจะนำสวนยางพาราของการยางแห่งประเทศไทย จำนวน 20,000 ไร่ ในพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช ใช้เป็นพื้นที่ต้นแบบ และในปี 2565 จะขึ้นทะเบียนเข้าร่วมโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย และในปี 66-67 ดำเนินการขอรับรองคาร์บอนเครดิต เพื่อขายในตลาด Carbon Market ต่อไป ซึ่งจะเป็นการเพิ่มรายได้จากสวนยางของเกษตรกรควบคู่กับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ภายใต้นโยบาย BCG Model ของกระทรวงเกษตรฯ และรัฐบาล ในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล (Green Econony) ตามเป้าหมาย Carbon Neutrality และ Zero Carbon

ที่ประชุมได้เสนอแนะให้ กยท.ขยายโครงการสวนยางยั่งยืนและโครงการคาร์บอนเครดิตเพิ่มจากแผนงานเดิมโดยขยายความร่วมมือกับทุกภาคีภาคส่วนเพื่อเร่งสร้างเสถียรภาพตลาดยางไทยทั้งในและต่างประเทศ เป็นการตอบโจทย์อนาคตเรื่องมาตรการ CBAM และภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) ของอียูเป็นต้น เพราะประเทศไทยส่งออกยางพาราเป็นอันดับ 1 ของโลก ส่งออกยางรถยนต์อันดับ 3-4 ส่งออกถุงมือยางอันดับ 2 ของโลก จึงต้องบริหารจัดการตลอดห่วงโซ่อุปทานและอุปสงค์ เช่น ขณะนี้จีนมีนโยบายลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์บางช่วงโรงงานในจีนจะลดการผลิตเพื่อรักษาระดับการปล่อยคาร์บอน และสหภาพยุโรปให้ความสำคัญกับมาตรฐาน FSC ซึ่งจีนมีการผลิตล้อยางส่งยุโรป จึงต้องให้ความสำคัญกับมาตรการเหล่านี้ นอกจากนี้ ประเทศไทยยังต้องเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง จึงเสนอแนะให้การยางแห่งประเทศไทยร่วมมือกับสถาบันยานยนต์ กระทรวงอุตสาหกรรม และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อเพิ่มการวิจัยและพัฒนายางและผลิตภัณฑ์ยาง โดยสามารถขอทุนวิจัยจากสำนักงานพัฒนาการการวิจัยการเกษตร องค์การมหาชน (สวก.) และหน่วยสนับสนุนการวิจัยของรัฐอื่น ๆ ตลอดจนการประสานความร่วมมือกับศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรมหรือศูนย์ AIC ซึ่งมีอยู่ใน 77 จังหวัด เพื่อการยกระดับและพัฒนาคุณภาพยางของไทย โดยใช้ยุทธศาสตร์ตลาดนำการผลิต เกษตรผลิตพาณิชย์ตลาด ยุทธศาสตร์เทคโนโลยีเกษตร4.0และยุทธศาสตร์เกษตรกรรมยั่งยืนภายใต้ 5 ยุทธศาสตร์ ของดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และประธานคณะกรรมการพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืน

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (04 มิ.ย. 65)

Tags: , , ,
Back to Top