เครือข่ายแรงงาน NT ค้าน TRUE-DTAC ควบรวมกิจการ ทำสูญรายได้-ตลาดกึ่งผูกขาด

เครือข่ายแรงงานรัฐวิสาหกิจ NT ประกอบด้วย กลุ่มผู้นำแรงงานบริษัท NT, กลุ่มพลังรักษ์องค์กรทีโอที, ชมรมศิษย์เก่าองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย, ชมรมศิษย์เก่า กสท. และประธานดำเนินการจัดตั้ง, เลขาธิการ, ที่ปรึกษา, กรรมการสหภาพแรงงาน NT ออกแถลงการณ์คัดค้านกรณีควบรวมธุรกิจระหว่าง บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) กับ บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชัน (DTAC) ที่เป็นการผูกขาดตลาดโทรคมนาคม พร้อมเดินทางยื่นหนังสือถึง สำนักงานกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ยับยั้งการควบรวมที่กำลังจะเกิดขึ้น

นายประสาน จ่างูเหลือม ประธานกลุ่มผู้นำแรงงาน NT กล่าวว่า การควบรวมกิจการระหว่าง TRUE และ DTAC มีผลกระทบโดยตรงต่อการประกอบกิจการของ NT และมีผลกระทบต่อตลาดแข่งขันเสรีในธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคมในประเทศ ซึ่งการควบรวมกิจการทั้งสองบริษัทฯ ส่งผลให้ตลาดธุรกิจสื่อสารมีสภาพกึ่งผูกขาด เพราะไม่หลงเหลือแรงจูงใจให้แข่งขันในธุรกิจอีกต่อไป ทั้งนี้รัฐและ บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติ (NT) จะได้รับผลกระทบจากควบรวม ดังนี้

1.สูญเสียรายได้เงินปันผลจาก DTAC ราว 200 ล้านบาทต่อปี เนื่องจากการบริหารงานของ TRUE กับ DTAC มีความแตกต่างกันอย่างมาก โดยเมื่อเทียบผลประกอบการ 5 ปี ย้อนหลัง DTAC มีกำไรเฉลี่ย 5,000 ล้านบาทต่อปี แต่ TRUE บริหารงานแบบไม่มีกำไรและมีงบการเงินที่ติดลบมาโดยตลอด ซึ่งคาดว่าเมื่อเกิดการควบรวมแล้ว การบริหารงานของ TRUE จะส่งผลกระทบให้ผู้ถือหุ้นไม่มีเงินปันผลเหมือนที่เคยถือหุ้น DTAC อีกต่อไป และหากนับย้อนหลัง 5 ปีที่ผ่านมา DTAC ให้เงินปันผล NT แล้วมากกว่า 1,200 ล้านบาท

2.สูญเสียรายได้ค่าเช่าเสาจาก DTAC ราว 1,900 ล้านบาทต่อปี เนื่องจาก TRUE มีกองทุน Infra Fund ซึ่งมีเสาที่ให้บริการโทรคมนาคมจำนวนมาก จึงไม่จำเป็นต้องเช่าใช้เสาของ NT ต่อไป

3.สูญเสียรายได้จากการลดปริมาณการโรมมิ่งของ DTAC ในโครงข่าย 2300 MHz ราว 4,500 ล้านบาทต่อปี หากเมื่อควบรวมธุรกิจกันแล้วเสร็จ จำนวนคลื่นที่สามารถนำมาให้บริการของทั้ง TRUE และ DTAC จะมีจำนวนมากเพียงพอในการให้บริการลูกค้าตนเองได้ จึงไม่จำเป็นต้องใช้บริการข้ามโครงข่ายภายในประเทศกับ NT ซึ่งคาดว่า DTAC จะลดปริมาณการโรมมิ่ง หรืออาจถึงขั้นยุติการโรมมิ่งในโครงข่าย 2300 MHz ของ NT ทำให้ NT สูญเสียรายได้จากการให้บริการจากสัญญา DTAC 4,500 ล้านบาทต่อปี

4.สูญเสียรายได้จากการลดปริมาณการซื้อความจุโครงข่าย 850 MHz ของเรียลมูฟ (บริษัทในเครือ TRUE) ราว 2,200 ล้านบาทต่อปี เนื่องจาก TRUE และ DTAC จะมีคลื่นจำนวนมากเพียงพอในการให้บริการลูกค้าตนเองได้แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้ความจุโครงข่าย 850 MHz ของ NT อีกต่อไป

นอกจากนั้น การควบรวมกันครั้งนี้จะเกิดผลกระทบต่อภาคประชาชนและสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศชาติ ดังนี้

1.เมื่อสภาพตลาดไม่มีการแข่งขันเนื่องจากเหลือผู้เล่นน้อยราย จะทำให้ไม่อาจใช้กลไกทางการตลาดเป็นตัวบริหารจัดการผู้เล่นในตลาดได้ ค่าบริการอาจมีค่าสูงขึ้นและคุณภาพของการให้บริการจะแย่ลง ไม่มีการแข่งขันด้านราคาหรือปรับปรุงคุณภาพการให้บริการให้ดีอยู่เสมอเพื่อรักษาฐานลูกค้าไว้ ไม่ให้ย้ายค่าย

2.ขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 40 การผูกขาดที่ไม่เป็นธรรม และ มาตรา 75 การคุ้มครองผู้บริโภค

3.การควบรวมกิจการขัดต่อเจตนารมณ์ของประกาศคณะกรรมการโทรคมนาคม เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการควบรวมและการถือหุ้นไขว้ในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 ที่สำคัญคือ ห้ามมิให้ผู้รับใบอนุญาตกระทำการควบรวมกิจการอันส่งผลให้เกิดการครอบงำตลาดที่เกี่ยวข้อง โดยกำหนดเกณฑ์ “เชิงปริมาณ” ในการวัด “ระดับการครอบงำตลาด” อย่างชัดเจนโดยการพิจารณาจากค่าดัชนีการกระจุกตัว HHI

4.การควบรวมกิจการระหว่าง TRUE และ DTAC ไม่ได้เกิดประโยชน์ต่อผู้บริโภค ที่ผลการศึกษาเบื้องต้นของสำนักงาน กสทช. เอง ระบุว่าจะทำให้ราคาค่าบริการเพิ่มขึ้น GDP ของประเทศลดลง ในทางกลับกัน การควบรวมกิจการระหว่าง TRUE และ DTAC ดูจะเป็นประโยชน์แต่ตัวบริษัทมากกว่า โดย TRUE จะกลายเป็นผู้เล่นในตลาดที่มีส่วนแบ่งการตลาดสูงที่สุด และมีอำนาจครอบงำตลาดได้จากข้อได้เปรียบที่มีธุรกิจในเครือเดียวกัน เช่น ค้าปลีก ค้าส่ง ให้การสนับสนุน

5.ในอดีตรัฐได้ปรับเปลี่ยนจากองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย มาเป็น บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติ เพื่อลดการผูกขาดการให้บริการโดยรัฐแต่เพียงผู้เดียวและสร้างตลาดแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรม เพื่อประโยชน์แก่ผู้บริโภค ที่จะใช้บริการที่มีคุณภาพที่ดีขึ้นแต่ในราคาค่าบริการที่ถูกลง เนื่องจากกลไกการตลาดแข่งขันเสรีจะช่วยทำให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์ แต่การควบรวมกิจการครั้งนี้ส่งผลให้ตลาดกึ่งผูกขาด ซึ่งส่งผลให้มีการพยายามสร้างอำนาจผูกขาดกลับคืนมา

ตัวแทนเครือข่ายแรงงานรัฐวิสาหกิจ NT กล่าวว่า อยากให้สำนักงาน กสทช.พิจารณาการควบรวมครั้งนี้ อย่างตรงไปตรงมา มองถึงประโยชน์ของผู้บริโภคและประเทศชาติเป็นที่ตั้งสำคัญ เนื่องจากหากดีลนี้เกิดขึ้นจริง คงต้องเรียกว่า ถึงจุดจบของ บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติ (NT) และถึงจุดจบการแข่งขันอย่างเสรีของโทรคมนาคมไทยอย่างแน่นอน ที่สำคัญเหนืออื่นใด หาก NT ต้องล้มหายตายจากไปอุตสาหกรรมโทรคมนาคมแล้ว การให้บริการโทรคมนาคมทั้งหมดในประเทศไทยก็จะดำเนินการโดยภาคเอกชนแต่เพียงผู้เดียว ก็จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในระบบโทรคมนาคมของประเทศในส่วนของภาครัฐ ตลอดจนการดำเนินการตามแนวนโยบายต่างๆ ที่ต้องอาศัยระบบโทรคมนาคมเป็นเครื่องผลักดัน

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (23 มิ.ย. 65)

Tags: , , , , , ,
Back to Top