IPOInsight: BLESS สร้างเส้นทางแห่งอนาคตสู่ผู้พัฒนาอสังหาฯชั้นนำ

แม้ว่าในช่วงระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา ตลาดอสังหาริมทรัพย์ค่อนข้างชะลอตัว หลังได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ซึ่งส่งผลต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง แต่อย่างไรก็ตาม แนวโน้มธุรกิจอสังหาฯ ในปี 2565 เริ่มเห็นการฟื้นตัวกลับมาตามสถานการณ์โรคระบาดที่เริ่มคลี่คลาย ทำให้นักลงทุนเริ่มกลับมาสนใจหุ้นในกลุ่มอสังหาฯ อีกครั้งหนึ่ง เป็นโอกาสให้ บมจ.เบล็ส แอสเสท กรุ๊ป (BLESS) เดินหน้าเข้าระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ เพื่อนำมาเป็นทุนซื้อที่ดินและพัฒนาโครงการใหม่ สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับธุรกิจในอนาคต

BLESS กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) ที่ 1.40 บาท/หุ้น ซึ่งเป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐาน โดยจะเสนอขายจำนวน 200 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาทต่อหุ้น คิดเป็นร้อยละ 25.00 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายครั้งนี้

ทั้งนี้ กำหนดเปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 29-30 มิ.ย. และ 1 ก.ค.65 และจะเข้าจดทะเบียนในหมวดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างของตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 7 ก.ค.65 ใช้ชื่อย่อในการซื้อขายว่า “BLESS”

*เจาะลึกผู้พัฒนาอสังหาฯ ตอบโจทย์ลูกค้าทุกเซกเมนต์

นายชัยวัฒน์ โกวิทจินดาชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BLESS เปิดเผยกับ “อินโฟเควสท์” ว่า บริษัทก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 9 มี.ค.53 ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่พักอาศัยเพื่อขาย เริ่มเปิดโครงการแรกอย่าง “Bless Ville พระยาสุเรนทร์ 25” ในปี 55 เป็นทาวน์โฮม 2 ชั้น มูลค่าโครงการ 250 ล้านบาท จากนั้นบริษัทพัฒนาโครงการมาอย่างต่อเนื่องในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล จนในปัจจุบัน 15 โครงการ ปิดขายไปแล้ว 6 โครงการ และอยู่ระหว่างการขาย 8 โครงการ มูลค่ากว่า 3.8 พันล้านบาท ขณะที่เตรียมเปิดขายโครงการใหม่ในปีนี้อีก 1 โครงการ

โครงการอสังหาริมทรัพย์ที่บริษัทพัฒนามีหลายรูปแบบทั้งทาวน์โฮม บ้านแฝด บ้านเดี่ยว และคอนโดมิเนียม Low Rise ภายใต้ 6 แบรนด์ ประกอบด้วย Blessington, Mellizo Park, Bless Town, Blessity Park, Bless Ville และ Bleisure เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่มให้ได้อย่างครอบคลุม

*ตลาดอสังหาฯ เริ่มฟื้น ยุค New Normal หนุนโครงการแนวราบ

แม้ว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาจะต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในทุกภาคส่วน รวมถึงการส่งมอบงานที่ล่าช้า ทำให้ตลาดอสังหาฯอยู่ในภาวะชะลอตัว แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดว่าในปีนี้จะเริ่มเห็นการฟื้นตัวกลับมาของตลาดอสังหาฯ โดยเฉพาะโครงการแนวราบที่น่าจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หลังจากได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคมาอย่างดีตั้งแต่เกิดเทรนด์ใหม่ในยุค New Normal

“หลังยุค New Normal โครงการแนวราบกลายมาเป็นสินค้าที่ผู้บริโภคต้องการมากที่สุด ในปีนี้เราเลยวางแผนจะพัฒนาและเปิดขายโครงการแนวราบเพิ่มอีก 1 โครงการในช่วงปลายปี มูลค่าประมาณ 720 ล้านบาท เป็นสินค้าประเภทบ้านเดี่ยวที่มีความพรีเมียมมากขึ้น ราคาอยู่ที่ประมาณ 10-15 ล้านบาท เพื่อขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มตลาดบน ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพและมีกำลังซื้อ”

นายชัยวัฒน์ กล่าว

*บริษัทย่อยกลุ่มรับเหมาคุมต้นทุนหนุนมาร์จิ้น

บริษัทมีทีมผู้บริหารที่มีความชำนาญ อยู่ในแวดวงธุรกิจอสังหาฯ มามากกว่า 30 ปี ผ่านมาทุกวิกฤตเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตต้มยำกุ้งปี 40, วิกฤตน้ำท่วมปี 54 มาจนถึงล่าสุดที่เกิดวิกฤตโควิด-19 ในปี 63 ทางบริษัทยังสามารถบริหารธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการมีบริษัทลูกที่ทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ส่งผลให้ปี 63 มีรายได้อยู่ที่ 894 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 114 ล้านบาท

“ด้วยความรู้ความชำนาญที่เรามี เราสามารถเลือกทำเลที่ตั้งของโครงการ พัฒนารูปแบบของโครงการ หรือแม้กระทั่งสินค้า ให้ตรงกับความตองการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด นอกจากนี้เรายังมีมีบริษัทย่อยที่ประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ได้แก่ บริษัท เบล็ส บิลด์ จำกัด (BB) ทำให้บริษัทสามารถควบคุมคุณภาพ มาตรฐาน ต้นทุนการก่อสร้างและการบริหารงานภายในได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

นายชัยวัฒน์ กล่าว

*ระดมทุนขยายกิจการ มุ่งเป้าหุ้น Growth Stock

วัตถุประสงค์ในการเข้าระดมทุนครั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้ไปใช้สำหรับขยายกิจการ โดยการซื้อที่ดินและพัฒนาโครงการอสังหาฯ พร้อมชำระคืนหนี้เงินกู้ยืม และใช้เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานของบริษัท ซึ่งการระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์นั้น จะช่วยเพิ่มศักยภาพการดำเนินธุรกิจ สามารถเข้าถึงเครื่องมือการระดมทุนที่หลากหลาย รองรับแผนการเติบโตอย่างยั่งยืนของบริษัทในอนาคต

บริษัทวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 2-3 โครงการต่อปีในทำเลใหม่ ๆ แต่ยังคงเน้นพื้นที่โซนรอบ ๆ กรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็นหลัก โดยเฉพาะตามแนวรถไฟฟ้าทั้งเส้นทางเดิมและส่วนต่อขยาย รวมถึงแหล่งชุมชนแหล่งงาน พร้อมทั้งขยายกลุ่มลูกค้าไปยังระดับบนมากขึ้น

“เรามั่นใจว่าหลังจากเข้าตลาดฯ เราจะมีเงินทุนเพื่อขยายโครงการได้มากขึ้น เฉลี่ยปีละ 2-3 โครงการ เราจะขยายฐานลูกค้าไปยังฐานกลุ่มอื่น ๆ เพื่อให้ครอบคลุมให้มากขึ้น เรืองของตัวทำเลเอง เราจะขยายไปในทำเลที่มีศักยภาพ ตามแหล่งงาน ตามสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานขยายไป ตามแนวรถไฟฟ้า เรามั่นใจว่าจะเติบโตก้าวไปสู่บริษัทชั้นนำด้านอสังหาฯได้

ตอนนี้บริษัทของเรายังไม่ใหญ่มาก กำลังอยู่ระหว่างการเติบโต หุ้นของเราจะเป็น Growth Stock ที่ทำให้นักลงทุนเติบโตไปด้วยกับเรา เรามีสโลแกนที่ว่า “Live Your Blessed Life” ใช้ชีวิตให้สุขยิ่งกว่า เราตั้งใจที่จะดูแลลูกค้าเหมือนกับที่เราดูแลพนักงานของเรา ให้เรามีความสุขและเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน” นายชัยวัฒน์ กล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (29 มิ.ย. 65)

Tags: , , , , ,
Back to Top