สศก.เผย GDP ภาคเกษตร Q2/65 โตต่อเนื่อง 5.7% คาดทั้งปีขยายตัว 2.4-3.4%

นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เผยผลวิเคราะห์ภาวะเศรษฐกิจการเกษตร ในไตรมาส 2 ของปี 2565 (เม.ย.-มิ.ย.) ขยายตัวเพิ่มขึ้น 5.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งขยายตัวเติบโตดีต่อเนื่องจากไตรมาส แรกของปี 2565 ที่ขยายตัว 4.1% เนื่องจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยมากขึ้น ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำและแหล่งน้ำธรรมชาติมีเพียงพอ ประกอบกับราคาสินค้าเกษตรหลายชนิดอยู่ในเกณฑ์ดี ทำให้เกษตรกรขยายการเพาะปลูกมากขึ้น

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสริมจากการดำเนินนโยบายและมาตรการด้านการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต การควบคุมคุณภาพ มาตรฐานสินค้าเกษตรให้ตรงกับความต้องการของตลาด การขยายช่องทางการตลาด รวมถึงการส่งเสริมการใช้ปุ๋ยชีวภาพและปุ๋ยอินทรีย์ การใช้ปุ๋ยเคมีอย่างถูกวิธี เพื่อลดภาระต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ทำให้เกษตรกรสามารถทำการผลิตได้อย่างต่อเนื่อง โดยสาขาพืชมีการขยาย ตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก เนื่องจากปริมาณน้ำที่มีเพียงพอสำหรับการเจริญเติบโตของพืช และสภาพอากาศที่เหมาะสมต่อการออกดอกติดผล ทำให้ ผลผลิตพืชสำคัญทั้งข้าวนาปรัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ อ้อยโรงงาน ลำไย ทุเรียน มังคุด และเงาะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะข้าวนาปรัง และผลไม้ ภาคตะวันออก ซึ่งเป็นผลผลิตหลักในไตรมาสนี้เพิ่มขึ้นอย่างมาก สำหรับสาขาบริการทางการเกษตรขยายตัวได้ตามการเพาะปลูกและการ เก็บเกี่ยวพืชที่เพิ่มขึ้น สาขาป่าไม้ขยายตัวจากปริมาณการผลิตไม้ยูคาลิปตัสที่เพิ่มขึ้นตามความต้องการของตลาด อย่างไรก็ตาม สาขาปศุสัตว์ และสาขาประมงหดตัวลง ซึ่งเป็นผลจากการเฝ้าระวังโรคระบาดและต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น

สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจการเกษตรในปี 65 คาดว่าจะขยายตัวเพิ่มจากปีก่อน 2.4-3.4% โดยทุกสาขาการผลิตมีแนวโน้ม ขยายตัว เนื่องจากฝนตกอย่างต่อเนื่อง ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำและแหล่งน้ำตามธรรมชาติมากกว่าปีที่ผ่านมา ประกอบกับความร่วมมือของ ภาคส่วนต่างๆ ในการส่งเสริมให้เกษตรกรมีการใช้เทคโนโลยีในการผลิตและใช้ปัจจัยการผลิตอย่างเหมาะสมเพื่อลดต้นทุน มีการยกระดับ สินค้าเกษตรให้มีคุณภาพได้มาตรฐาน มีการบริหารจัดการการผลิตและการตลาดให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด นอกจากนี้การ ดำเนินกิจกรรมในภาคอุตสาหกรรม ภาคธุรกิจ การท่องเที่ยว และการขนส่ง มีความคล่องตัวมากขึ้นภายหลังการผ่อนคลายมาตรการโควิด- 19 ทำให้ความต้องการสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยเสี่ยงจากความแปรปรวนของสภาพอากาศ ภาวะฝนทิ้งช่วงในบางพื้นที่ และพายุฝนที่อาจรุนแรงมากขึ้น ในช่วงฤดูฝน ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นจากราคาปัจจัยการผลิตที่ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั้งราคาน้ำมัน ปุ๋ยเคมี สารกำจัดศัตรูพืช และอาหารสัตว์ รวมถึงสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยังคงยืดเยื้อ ทำให้หลายประเทศประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ และอาจส่งผลให้ เศรษฐกิจโลกชะลอตัว

น.ส.ทัศนีย์ เมืองแก้ว รองเลขาธิการ สศก.กล่าวว่า สาขาพืชขยายตัว 9.3% สินค้าพืชที่มีผลผลิตเพิ่มขึ้น ได้แก่

– ข้าวนาปรัง เนื่องจากปริมาณน้ำที่มีเพียงพอสำหรับการเพาะปลูก เกษตรกรจึงขยายการเพาะปลูกในพื้นที่นาปรังเดิมที่เคย ปล่อยว่าง

– ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เนื่องจากสภาพอากาศเอื้ออำนวยและปริมาณน้ำฝนเหมาะสม ประกอบกับราคาที่อยู่ในเกณฑ์ดีจากความ ต้องการของตลาดที่มีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการผลิตอาหารสัตว์

– อ้อยโรงงาน เนื่องจากราคาอยู่ในเกณฑ์ดี โรงงานน้ำตาลมีการประกันราคารับซื้อผลผลิตอ้อยสดคุณภาพดี ภาครัฐมี มาตรการแก้ไขปัญหาอ้อยไฟไหม้ ส่งเสริมให้เกษตรกรตัดอ้อยสด และมีการรับซื้อใบอ้อยเพื่อนำไปเป็นวัตถุดิบในการผลิตไฟฟ้า ทำให้ เกษตรกรเอาใจใส่ดูแลผลผลิตอ้อยให้มีคุณภาพ ส่งผลให้ผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้น

– ลำไยมีเนื้อที่ให้ผลเพิ่มขึ้นจากต้นลำไยที่ปลูกในปี 2562 เริ่มให้ผลผลิตในช่วงปี 2565 ประกอบกับสภาพอากาศเอื้ออำนวย และมีปริมาณน้ำเพียงพอในช่วงออกดอกและช่วงติดผล

– ทุเรียน เนื่องจากราคาในปีที่ผ่านมาอยู่ในเกณฑ์ดี รวมถึงการขยายพื้นที่ปลูกใหม่เมื่อปี 2560 ของเกษตรกรในจังหวัด จันทบุรี ตราด และระยอง โดยปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกยางพารา ลำไย มังคุด เงาะ ลองกอง และพื้นที่ว่างเปล่ามาปลูกทุเรียน ซึ่งเริ่มให้ผล ผลิตในปี 2565 เป็นปีแรก

– มังคุด เนื่องจากในช่วงเดือนธันวาคม 2564 ถึงเดือนมกราคม 2565 มีอากาศหนาวเย็นเอื้ออำนวยต่อการออกดอกและติด ผล ประกอบกับในปีที่ผ่านมาต้นมังคุดมีการพักสะสมอาหาร ทำให้ในปีนี้มีการออกดอกติดผลได้มากและมีผลผลิตออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้น

– เงาะ เนื่องจากสภาพอากาศและฝนที่ตกต่อเนื่อง ทำให้ต้นเงาะได้รับน้ำสมบูรณ์ มีการออกดอกและติดผลได้ดี ทำให้มีผล ผลิตออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้น

ส่วนสินค้าพืชที่มีผลผลิตลดลง ได้แก่

– ข้าวนาปี เนื่องจากราคาข้าวเปลือกในฤดูเพาะปลูกที่ผ่านมาไม่จูงใจ รวมทั้งต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นและขาดแคลนแรงงาน ทำให้เกษตรกรบางส่วนปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่นที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า เช่น อ้อยโรงงาน และมันสำปะหลัง มันสำปะหลัง เนื้อที่เก็บเกี่ยวลด ลง จากพื้นที่ที่ประสบอุทกภัยในช่วงเดือน ก.ย.-ต.ค.64 มีการปลูกซ่อมใหม่ ทำให้รอบการปลูกเลื่อนออกไป จึงยังไม่สามารถเก็บเกี่ยวผล ผลิตได้ในไตรมาสนี้ และบางพื้นที่มีการปรับเปลี่ยนไปปลูกอ้อยที่ราคาอยู่ในเกณฑ์ดี

– สับปะรดโรงงาน ในช่วงปีที่ผ่านมา เกษตรกรมีการเร่งบำรุงต้นสับปะรด ทำให้ผลผลิตออกนอกฤดูในช่วงปลายปี 2564 ถึง ต้นปี 2565 ส่งผลให้ผลผลิตสับปะรดที่เคยออกสู่ตลาดสูงสุดในเดือน พ.ค.-มิ.ย.65 มีปริมาณลดลง

– ยางพารา เนื่องจากในพื้นที่ภาคใต้ มีฝนตกอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงเดือน เม.ย.65 ทำให้จำนวนวันกรีดยางลดลง

– ปาล์มน้ำมัน เนื่องจากสภาพอากาศเอื้ออำนวยและเกษตรกรมีการบำรุงดูแลมากขึ้น ทำให้ผลผลิตปาล์มน้ำมันออกสู่ตลาดเร็ว ขึ้นและมีจำนวนมากในไตรมาสที่ผ่านมา ส่งผลให้ผลผลิตปาล์มน้ำมันที่เคยออกสู่ตลาดสูงสุดในช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค.มีปริมาณลดลง

สาขาปศุสัตว์ หดตัว 2.2% เนื่องจากเกษตรกรยังมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์โรคอหิวาต์แอฟริกันในสุกร (African Swine Fever: ASF) ซึ่งระบาดตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ประกอบกับต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้เกษตรกรลดปริมาณการเลี้ยงสุกรลง อย่างไรก็ตาม ความต้องการบริโภคสินค้าปศุสัตว์ที่มีอย่างต่อเนื่อง และการจัดการฟาร์มที่ได้มาตรฐานอย่างเข้มงวด ทำให้ผล ผลิตหลายชนิดเพิ่มขึ้น

– ไก่เนื้อ มีการขยายการผลิตเพื่อรองรับความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น

– ไข่ไก่ มีการจัดการฟาร์มที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ผลผลิตไข่ไก่ออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

– น้ำนมดิบ มีการดูแลเอาใจใส่สุขภาพของแม่โคเป็นอย่างดีและแม่โคมีอัตราการให้น้ำนมเพิ่มขึ้น รวมถึงมีการใช้เทคโนโลยี ช่วยในการจัดการฟาร์มและควบคุมโรคระบาด

สาขาประมง หดตัว 2.7% โดยสัตว์น้ำที่นำขึ้นท่าเทียบเรือลดลง เนื่องจากมีมรสุมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ชาวประมงจึงจับสัตว์ น้ำได้ลดลง ประกอบกับราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ชาวประมงลดการนำเรือออกไปจับสัตว์น้ำ ขณะที่กุ้งทะเลเพาะเลี้ยง มีปริมาณผล ผลิตลดลง เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาพบการระบาดของโรคขี้ขาว ไวรัสตัวแดงดวงขาว หัวเหลืองในกุ้งขาวแวนนาไม เกษตรกรจึงลดเวลา ในการเลี้ยง ทำให้ได้กุ้งที่มีขนาดเล็กลง

อย่างไรก็ตาม ปลานิล และ ปลาดุก มีผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีปริมาณน้ำเพียงพอต่อการเลี้ยงจากปริมาณน้ำฝนที่มีมากกว่าปี ที่ผ่านมา และเกษตรกรมีการอนุบาลลูกปลาให้ได้ขนาดและแข็งแรงก่อนปล่อยลงบ่อเลี้ยง ทำให้มีอัตราการรอดสูงขึ้น

สาขาบริการทางการเกษตร ขยายตัว 4.2% โดยกิจกรรมการเตรียมดินเพิ่มขึ้นตามการเพาะปลูกพืชสำคัญ ได้แก่ ข้าวนาปี ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และข้าวนาปรัง เนื่องจากสภาพอากาศและปริมาณน้ำเพียงพอสำหรับการเพาะปลูกพืช และราคาพืชหลายชนิดอยู่ในเกณฑ์ ดี สำหรับการเก็บเกี่ยวผลผลิตพืชที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ ข้าวนาปรังและอ้อยโรงงาน

สาขาป่าไม้ ขยายตัว 2.0%

– ไม้ยูคาลิปตัส ยังคงเป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน ลาว และญี่ปุ่น เพื่อนำไปใช้ผลิต เยื่อกระดาษและแปรรูปเป็นเชื้อเพลิงชีวมวล

– ถ่านไม้ เพิ่มขึ้นจากการส่งออกไปยังจีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ประกอบกับความต้องการใช้ในประเทศเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ ธุรกิจร้านอาหารและโรงแรมภายหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลาย

– ไม้ยางพาราลดลงตามพื้นที่การตัดโค่นสวนยางพาราเก่าเพื่อปลูกทดแทนด้วยยางพาราพันธุ์ดีและพืชอื่น ประกอบกับราคา ยางพาราปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้เกษตรกรตัดโค่นไม้ยางพาราลดลง

อัตราการเติบโตของภาคเกษตร

สาขาไตรมาส 2/2565 (เม.ย.–มิ.ย.65)
ภาคเกษตร5.7%
พืช9.3%
ปศุสัตว์-2.2%
ประมง-2.7%
บริการทางการเกษตร4.2%
ป่าไม้2.0%

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 ก.ค. 65)

Tags: , , , ,
Back to Top