ครม.ไฟเขียวงบปี 66-69 เพิ่มเงินอุดหนุนคชจ.รายหัวสำหรับการศึกษาขั้นพื้นฐาน

ไตรศุลี ไตรสรณกุล

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบหลักการการปรับอัตราเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายรายหัวสำหรับผู้เรียนการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในลักษณะงบประมาณผูกพันต่อเนื่อง 4 ปี ตั้งแต่ปี 2566-2569 ครอบคลุมการจัดการศึกษาตั้งแต่ระดับก่อนประถมศึกษา ประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น มัธยมศึกษาตอนปลาย และระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ของสถานศึกษารัฐและเอกชน การจัดการศึกษาโดยครอบครัวและสถานประกอบการ

สำหรับกรอบวงเงินงบประมาณในแต่ละปี มีรายละเอียดดังนี้

  • ปีที่ 1 ปี 2566 งบประมาณ 48,741.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2565 จำนวน 2,259.22 ล้านบาท
  • ปีที่ 2 ปี 2567 งบประมาณ 50,399.12 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2566 จำนวน 1,657.50 ล้านบาท
  • ปีที่ 3 ปี 2568 งบประมาณ 52,612.28 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2567 จำนวน 2,213.16 ล้านบาท
  • ปีที่ 4 ปี 2569 งบประมาณ 54,548.86 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2568 จำนวน 1,936.58 ล้านบาท
  • รวมเงินอุดหนุนระยะเวลา 4 ปี 206,301.88 ล้านบาท

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณในลักษณะของเงินอุดหนุนตามจำนวนผู้เรียนผ่านสถานศึกษาเพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน 15 ปี สำหรับค่าใช้จ่ายพื้นฐาน 5 รายการหลัก ได้แก่ ค่าจัดการเรียนการสอน, ค่าหนังสือเรียน, ค่าอุปกรณ์การเรียน, ค่าเครื่องแบบนักเรียน และค่ากิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียน

อย่างไรก็ตาม จากผลการสำรวจและวิเคราะห์ข้อมูลค่าใช้จ่ายสำหรับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พบว่า อัตราเงินอุดหนุนปัจจุบันต่ำกว่าค่าใช้จ่ายจริงและไม่สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนและสถานศึกษา ซึ่งเป็นอัตราที่ไม่ได้มีการปรับมามากกว่า 10 ปี โดยปรับครั้งสุดท้ายในปีการศึกษา 2553 ยกเว้นค่าหนังสือเรียนที่มีการปรับเพิ่มอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ราคาสินค้าบริการและค่าครองชีพปรับเพิ่มสูงขึ้นทุกปีตามสภาพเศรษฐกิจสังคมส่งผลให้สถานศึกษาจำเป็นต้องระดมเงินสนับสนุนจากแหล่งอื่น เช่น เงินค่าบำรุงการศึกษา เงินบริจาคเงินรายได้สถานศึกษาโดยผู้เรียนและผู้ปกครองต้องรับภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาที่เพิ่มขึ้น

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า การปรับอัตราเงินอุดหนุนในครั้งนี้ เป็นการปรับอัตราให้สอดคล้องกับสภาพทางเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งจะช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้เรียน ผู้ปกครอง และสถานศึกษาสามารถพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้ได้มาตรฐานมากยิ่งขึ้น ผู้เรียนทุกคนเข้าถึงการศึกษาได้อย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน ลดอุปสรรคสำคัญในการตัดสินใจเข้าศึกษาต่อของผู้เรียนโดยเฉพาะผู้เรียนยากจน

ทั้งนี้ ในการปรับปรุงอัตราเงินอุดหนุน กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้ใช้ข้อมูลจำนวนนักเรียนและข้อมูลนักเรียนยากจน ณ ปี 2564 ซึ่งมีนักเรียนยากจนคิดเป็น 18% ของนักเรียนทั้งหมด ในการนำมาประเมินแนวโน้มใน 4 ปีข้างหน้า พร้อมกับพิจารณาถึงอัตราการเปลี่ยนแปลงของจำนวนผู้เรียนการศึกษาในระบบและนอกระบบ ซึ่งในส่วนของการศึกษาในระบบปี 2560-2563 มีจำนวนผู้เรียนลดลง 0.8% ขณะที่การศึกษานอกระบบ ปี 2561-2565 ผู้เรียนลดลงประมาณ 8.7% ต่อปี

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (26 ก.ค. 65)

Tags: , , ,
Back to Top