PACO เชื่อ H2/65 สดใสหลัง Q2/65 ฟื้นโต รับผลดีราคาอลูมิเนียมลด-กระแส EV-บาทอ่อน

นายสมชาย เลิศขจรกิตติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เพรสซิเด้นท์ ออโตโมบิล อินดัสทรีส์ (PACO) กล่าวว่า ครึ่งปีหลังบริษัทมุ่งมั่นที่จะขยายทั้งตลาดส่งออก และตลาดในประเทศ ซึ่งคาดว่าธุรกิจจะขยายตัวได้เติบโตจากครึ่งปีแรก โดยบริษัทเตรียมขยายตลาดส่งออก ซึ่งปีนี้คาดว่าจะเติบโตได้ดี เนื่องจากธุรกิจ REM หรือ อะไหล่ทดแทน จะได้ประโยชน์จากสภาวะเศรษฐกิจถดถอย ทำให้ลูกค้าชะลอการซื้อรถใหม่ อีกทั้ง ปัญหาเรื่องการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ ได้คลี่คลายลงอย่างมาก ทำให้บริษัทฯ สามารถส่งออกเพิ่มขึ้นได้

นอกจากนี้ PACO คาดว่าจะได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่อง ในครึ่งปีหลังอีกด้วย โดยบริษัทฯ มุ่งเน้น ตลาดตะวันออกกลาง สหรัฐอเมริกา และอาเซียน

ส่วนในประเทศ PACO จะขยายเครือข่ายร้านอะไหล่แอร์รถยนต์ครบวงจร ภายใต้แบรนด์ PACO Auto Hub (พาโก้ ออโต้ ฮับ) เพื่อสร้างแบรนด์ PACO ให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้ใช้รถยนต์ในประเทศ เพื่อเพิ่มยอดขายในประเทศและเสริมความแข็งแกร่งด้านช่องทางการจำหน่ายสินค้า และสร้างความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ แบรนด์ของคนไทย โดยเราตั้งเป้าหมายที่ จะมีร้าน PACO Auto Hub จำนวน 300 สาขาภายในปีนี้ จากปัจจุบันได้เปิดไปแล้วกว่า 170 สาขา ทั่วประเทศ โดยภายในร้านจะจำหน่ายผลิตภัณฑ์ คอยล์ร้อนและคอยล์เย็นแบรนด์ PACO เป็นหลัก และมีสินค้าอื่นๆ อาทิเช่น ท่อน้ำยาแอร์ น้ำยาแอร์ เพื่อเป็นการให้บริการลูกค้าแบบครบวงจรในที่เดียว (One-Stop Solution)

PACO เชื่อมั่นว่าบริษัทจะได้รับประโยชน์จากนโยบายการส่งเสริมอุตสาหกรรมผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ของรัฐบาล ที่ต้องการให้ประเทศไทยเป็น 1 ในศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV Hub) ของเอเชีย เนื่องจาก PACO เป็นผู้รับจ้างผลิตชิ้นส่วนแอร์รถยนต์ (OEM Manufacturer) ที่มีความพร้อมด้านเทคโนโลยี และมีประสบการณ์ในการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า คือ Battery cooler และ ชิ้นส่วนแอร์รถยนต์สำหรับรถไฟฟ้า (EV) แบบ BEV (Battery EV) และ PHEV (Plug-in Hybrid) ในรูปแบบอะไหล่ทดแทน (REM) เพื่อจำหน่ายในประเทศและส่งออกไปต่างประเทศ

PACO ประสบความสำเร็จในการเข้าสู่ธุรกิจ OEM หรือ รับจ้างผลิตชิ้นส่วนแอร์รถยนต์ให้ผู้ผลิตรถยนต์ โดยได้เซ็นต์สัญญากับลูกค้าใหญ่รายแรกคือ ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่มุ่งเน้นรถยนต์ไฟฟ้า EV และ Plug-in Hybrid (PHEV) ซึ่งเป็นเทรนด์ใหม่ของโลกที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นๆอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง PACO ได้รับออเดอร์มูลค่าถึง 1,200 ล้านบาท ทำให้มีรายได้ที่มั่นคงรองรับกว่า 5 ปี สำหรับธุรกิจ OEM และ รองรับรายได้ 10 ปีสำหรับธุรกิจรับจ้างผลิตอะไหล่ (OES)

ยิ่งกว่านั้น บริษัทฯ ได้รับการติดต่อจากผู้ผลิตหลายแห่ง เพื่อนำเสนองานรับจ้างผลิตชิ้นส่วนแอร์รถยนต์และชิ้นส่วนอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทฯมองเห็นศักยภาพการเติบโตของธุรกิจ OEM ที่ชัดเจน มีโอกาสเติบโตสูง เนื่องจากอุตสาหกรรมกลับมาขยายตัวอีกครั้งจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก รวมถึงนโยบายรัฐบาลสนับสนุนให้ค่ายรถยนต์ประกอบรถยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศ ด้วยการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจำนวนมาก อีกทั้งการทยอยเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ จำนวนมากของค่ายรถยนต์เข้าสู่ตลาด และPACO มีไลน์การผลิต อุปกรณ์เครื่องจักรมาตรฐานสากล พร้อมผลิตสินค้าให้ลูกค้าได้ทันทีโดยไม่ต้องลงทุนเพิ่ม อีกทั้งมีคู่แข่งน้อยรายในธุรกิจ จึงเชื่อมั่นว่า PACO มีโอกาสรับงานรับจ้างผลิต OEM ได้อีกจำนวนมาก

สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2/65 ซึ่งบริษัทมีรายได้รวม 234.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29 % จากรายได้รวม 181 ล้านบาทในไตรมาส 1/65 และมีกำไรสุทธิ 28.7 ล้าน เพิ่มขึ้น 68% จากกำไรสุทธิ 16.9 ล้านบาท ในไตรมาสก่อน ซึ่งรายได้รวมและกำไรสุทธิของ PACO เติบโตดีขึ้นตามอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยที่กลับมาขยายตัวอีกครั้ง ตามอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยและทั่วโลกที่กลับมาขยายตัว ตามสภาวะเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะฟื้นตัวและกลับสู่การเติบโตอีกครั้ง

PACO มีอัตรากำไรสุทธิ (Net Margin) ที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในไตรมาส 2 ปีนี้ เรามีอัตรากำไรสุทธิที่ 12.3% สูงกว่าอัตรากำไรสุทธิเฉลี่ยของผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ OEM ที่ประมาณ 5-10% เนื่องจาก PACO เน้นตลาดอะไหล่ทดแทน (Aftermarket Parts) จึงสามารถกำหนดราคาขายสินค้าได้เอง และมีการแข่งขันด้านราคาที่น้อยกว่า ขณะเดียวกันบริษัทฯได้ปรับราคาสินค้าสินค้าขึ้นในไตรมาสที่ผ่านมา รวมทั้งราคาอลูมิเนียมได้ปรับตัวลดลงตามลำดับ ทำให้กำไรสุทธิปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัย

ส่วนงวด 6 เดือนแรกปี 65 PACO มีรายได้รวม 415 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.3 % จากรายได้รวม 369.6 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วง 6 เดือนแรกปี 64 โดยมีกำไรขั้นต้น 67.7 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 45.6 ล้านบาท จากกำไรสุทธิ 60 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากผลกระทบจากต้นทุนสูงขึ้น และอัตราแลกเปลี่ยนในไตรมาสแรก

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (09 ส.ค. 65)

Tags: , , , ,
Back to Top