กอนช.เฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงรับมือ “มู่หลาน” คาดช่วยเติมน้ำเขื่อนใหญ่เกือบ 5,000 ล้าน ลบ.ม.

นายสุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในฐานะรองผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ได้สั่งการและเน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงภัยน้ำหลาก และน้ำท่วมฉับพลัน จากอิทธิพลของร่องมรสุม และพายุโซนร้อน “มู่หลาน” ระหว่างวันที่ 7-13 สิงหาคม 2565 ที่ทำให้เกิดฝนตกหนักในหลายพื้นที่ของประเทศ โดยเฉพาะบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก

รวมทั้งเฝ้าระวังอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ที่มีปริมาณน้ำสูงกว่าเกณฑ์ปฏิบัติการอ่างเก็บน้ำสูงสุด (Upper Rule Curve) และอ่างเก็บน้ำขนาดกลางที่มีปริมาณน้ำมากกว่า 80% ของปริมาณการกักเก็บ ตลอดจนให้เตรียมเครื่องมือ เครื่องจักร และบุคลากร พร้อมรองรับหากเกิดภาวะฉุกเฉินเพื่อเร่งช่วยเหลือได้ทันต่อสถานการณ์ ซึ่ง สทนช.ได้ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายใต้ กอนช.ให้เตรียมพร้อมรับมือโดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงภัยตามประกาศของ กอนช.ฉบับที่ 26/2565 อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม จากอิทธิพลของร่องมรสุมและพายุโซนร้อน “มู่หลาน” ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว กอนช. ยังคาดการณ์ปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำของเขื่อนขนาดใหญ่ทั้ง 35 แห่งทั่วประเทศ จะมีปริมาณน้ำรวมกันไม่น้อยกว่า 4,972 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) แบ่งเป็น

– ภาคเหนือ จำนวน 9 แห่ง คาดการณ์น้ำไหลเข้า 2,024 ล้าน ลบ.ม. โดยเขื่อนสิริกิติ์ จะมีปริมาณน้ำไหลเข้ามากที่สุดประมาณ 742 ล้าน ลบ.ม. รองลงมาเป็นเขื่อนภูมิพล ปริมาณน้ำไหลเข้า 692 ล้าน ลบ.ม. เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน ปริมาณน้ำไหลเข้า 254 ล้าน ลบ.ม. และเขื่อนกิ่วลม ปริมาณน้ำไหลเข้า 134 ล้าน ลบ.ม.

โดยเฉพาะเขื่อนกิ่วคอหมา และเขื่อนกิ่วลมนั้น กอนช. ได้ประเมินคาดการณ์แนวโน้มน้ำเต็มความจุเขื่อนเก็บน้ำ และเสี่ยงล้นทางระบายน้ำล้น จึงแจ้งให้กรมชลประทานเฝ้าระวังเป็นพิเศษ และพิจารณาปรับการระบายน้ำในอัตราที่เหมาะสม หากมีการปรับเพิ่มการระบายน้ำให้แจ้งเตือนประชาชนด้านท้ายเขื่อนทราบ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำล้นตลิ่ง และขนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูงไว้ล่วงหน้า

– ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีเขื่อนขนาดใหญ่ จำนวน 12 แห่ง คาดการณ์ปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างฯ รวมกันประมาณ 1,303 ล้าน ลบ.ม. โดยเขื่อนสิรินธร จะมีปริมาณน้ำไหลเข้ามากที่สุด 557 ล้าน ลบ.ม. รองลงมาคือ เขื่อนอุบลรัตน์ มีปริมาณน้ำไหลเข้า 316 ล้าน ลบ.ม. เขื่อนลำปาว มีปริมาณน้ำไหลเข้า 286 ล้าน ลบ.ม.

– ภาคกลาง จำนวน 2 แห่ง มีปริมาณน้ำไหลเข้ารวมกันประมาณ 177 ล้าน ลบ.ม. แบ่งเป็น เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ 162 ล้าน ลบ.ม. เขื่อนกระเสียว 15 ล้าน ลบ.ม.

– ภาคตะวันออก มีจำนวน 6 แห่ง คาดว่ามีปริมาณน้ำไหลเข้ารวมกันประมาณ 137 ล้าน ลบ.ม. โดยเขื่อนขุนด่านปราการชล จะมีปริมาณน้ำไหลเข้ามากที่สุด 48 ล้าน ลบ.ม. รองลงมาเป็นเขื่อนนฤบดินทรจินดา 26 ล้านลบ.ม. เขื่อนคลองสียัด 23 ล้าน ลบ.ม.

– ภาคตะวันตก มีเขื่อนขนาดใหญ่ 4 แห่ง คาดว่าจะมีปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างฯ รวมกันประมาณ 1,174 ล้าน ลบ.ม. โดยเขื่อนวชิราลงกรณ ปริมาณน้ำไหลเข้ามากที่สุด 627 ล้าน ลบ.ม. รองลงมาคือ เขื่อนศรีนครินทร์ จำนวน 460 ล้าน ลบ.ม.

– ภาคใต้ 2 แห่ง คาดว่าจะมีปริมาณน้ำไหลเข้ารวมกัน 158 ล้าน ลบ.ม. ได้แก่ เขื่อนรัชชประภา 105 ล้าน ลบ.ม. และเขื่อนบางลาง 52 ล้าน ลบ.ม.

“สทนช. ได้ติดตามปริมาณน้ำในเขื่อนต่างๆ ที่มีแนวโน้มที่จะมีปริมาณน้ำมากในช่วงนี้ โดยได้ประสานหน่วยงานที่รับผิดชอบ ได้แก่ กรมชลประทาน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) บริหารจัดการน้ำให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดน้ำไหลล้นเขื่อน และไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายน้ำ โดยเฉพาะอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ 9 แห่งที่มีปริมาณน้ำสูงกว่าเกณฑ์ปฏิบัติการอ่างเก็บน้ำสูงสุด ได้แก่ เขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล เขื่อนกิ่วลม เขื่อนกิ่วคอหมา บึงบอระเพ็ด เขื่อนน้ำพุง เขื่อนอุบลรัตน์ เขื่อนบางพระ เขื่อนหนองปลาไหล และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ รวมถึงอ่างเก็บน้ำขนาดกลางที่มีปริมาณน้ำมากกว่า 80% ของปริมาณการกักเก็บรวม 112 แห่ง แบ่งเป็น ตะวันออกเฉียงเหนือ 65 แห่ง ภาคเหนือ 23 แห่ง ภาคตะวันออก 15 แห่ง ภาคตะวันตก 4 แห่ง ภาคใต้ 4 แห่ง และภาคกลาง 1 แห่ง”

นายสุรสีห์ กล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (12 ส.ค. 65)

Tags: , , ,
Back to Top