LH บวก 2.26% ผลงานดีขึ้นต่อเนื่องคาดยอดพรีเซลส์ Q3/65 ทำนิวไฮ โบรกฯปรับเป้า

LH ปรับขึ้น 2.26% หรือเพิ่มขึ้น 0.20 บาท มาที่ 9.05 บาท มูลค่าซื้อขาย 246.00 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.39 น.จากราคาเปิด 8.90 บาท ราคาสูงสุด 9.10 บาท ราคาต่ำสุด 8.85 บาท

บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บมจ.แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์ชั้นนำยังคงเป็นหุ้นเด่นของเราในกลุ่มอสังหาฯ โดยธุรกิจทั้งหมด ตั้งแต่อสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยไปจนถึงอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์/โรงแรมมีผลการดำเนินงานที่น่าประทับใจตั้งแต่ไตรมาส 4/64 เรื่อยมา แม้จะมีต้นทุนที่สูงขึ้นจากเงินเฟ้อและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่จะเกิดขึ้น

นอกจากนี้ ธุรกิจหลักยังมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากส่วนแบ่งกำไรที่ดีจากบริษัทร่วมและแนวโน้มกำไรจากการขายห้องชุดในสหรัฐฯ อีกด้วย ทั้งนี้แนวโน้มผลประกอบการในครึ่งปีหลัง 65 น่าจะแข็งแกร่งกว่าครึ่งปีแรก 65 ในเกือบทุกด้าน เราปรับไปใช้ราคาเป้าหมายอิงวิธี SOTP ไปเป็นปี 66 ได้ราคาเป้าหมายใหม่เพิ่มเป็น 10.7 บาท

โดบคาดยอดพรีเซลส์ไตรมาส 3/65 ทำสถิติใหม่จากการเปิดตัวใหม่ 8 โครงการมูลค่าประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาทในไตรมาส 3/65 ยอดขายล่วงหน้ารายไตรมาสของ LH มีแนวโน้มที่จะแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่มากกว่า 9 พันล้านบาท ผลักดันยอดขายล่วงหน้า 9 เดือนแรกของปี 65 คิดเป็น +80% ของประมาณการทั้งปีที่ 3.1 หมื่นล้านบาท (+8% YoY) ตัวขับเคลื่อนการเติบโตที่สำคัญคืออุปสงค์ที่แข็งแกร่งสำหรับบ้านระดับบน ผนวกกับมูลค่าการเปิดตัวโครงการใหม่กลับสู่ระดับก่อนโควิด-19 ที่ 2.95 หมื่นล้านบาท (+50% YoY) ในปีนี้

ส่วนธุรกิจโรงแรมเฟื่องฟู ล่าสุด ได้ไปเยี่ยมชมโครงการอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าในพัทยาพร้อมรับฟังข้อมูลอัปเดตเกี่ยวกับธุรกิจการบริการจากผู้บริหารบริษัท แอล เอช มอลล์ แอนด์ โฮเทล จำกัด (LH Mall & Hotel) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ไม่ใช่บริษัทจดทะเบียนของ LH ผู้ดำเนินการ/จัดการอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าของ LH และกอง REIT สองแห่งภายใต้กลุ่ม LH ยืนยันว่าธุรกิจฟื้นตัวอย่างรวดเร็วหลังจากเปิดประเทศ เช่นเดียวกับความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของโรงแรมที่เพิ่งเปิดใหม่อย่าง Grande Centre Point Space Pattaya ซึ่งมีอัตราการเข้าพักมากกว่า 90% ด้วยราคาห้องพักระดับพรีเมียม เราคาดว่ารายได้ค่าบริการจะเติบโต 125% YoY ในปีนี้ to grow 125% YoY ในปีนี้

บล.เมย์แบงก์ฯ ปรับเพิ่มประมาณการกำไรขึ้นประมาณ 2% ต่อปีสำหรับปี 65-66 สะท้อนการฟื้นตัวของธุรกิจการบริการที่รวดเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ อัพไซด์สำคัญคือมูลค่ากำไรจากการขายสินทรัพย์ซึ่งจะเกิดขึ้นภายในสิ้นปี 65 ราคาเป้าหมาย (SOTP) ใหม่ของเราเพิ่มขึ้นเป็น 10.7 บาท (จาก 10 บาท) หลังจากปรับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 66

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (27 ก.ย. 65)

Tags: , , , ,
Back to Top