AAI คาดเข้าเทรด SET 1 พ.ย.ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โตแตะ 6.2 พันลบ.จากปีก่อน 4.9 พันลบ.

นายทวีชัย ตั้งธนทรัพย์ Head of Investment Banking Capital Market บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย บมจ.เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล (AAI) เปิดเผยว่า

คาดว่า AAI จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET) ได้ในวันที่ 1 พ.ย.นี้ ซึ่งได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ที่ 5.55 บาทต่อหุ้น มองเป็นราคาที่เหมาะสมสะท้อนพื้นฐานและศักยภาพการเป็นผู้รับจ้างผลิตผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียก (Wet Pet Food) และผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทานบรรจุภาชนะปิดผนึก (Human Food) ชั้นนำของประเทศ มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมมากว่า 15 ปี โดยเตรียมเปิดให้ผู้ถือหุ้นของ AAI เฉพาะกลุ่มที่มีสิทธิได้รับจัดสรรหุ้นจองซื้อหุ้น IPO ในวันที่ 17-21 ต.ค. และนักลงทุนรายย่อยจองซื้อหุ้น IPO ในวันที่ 21, 25-26 ต.ค.นี้

“มั่นใจการเสนอขายหุ้น IPO ของ AAI จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน และจากแผนการลงทุนที่ชัดเจนในการเพิ่มกำลังการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกในประเทศไทย รวมถึงลงทุนในคลังสินค้าอัตโนมัติแห่งที่ 2 เพื่อรองรับคำสั่งซื้อที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต นับเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยเสริมศักยภาพให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนมากขึ้น”

นายทวีชัย กล่าว

นายเอกราช พรรณสังข์ กรรมการผู้จัดการ AAI กล่าวว่า บริษัทฯ คาดจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ไปลงทุนรองรับการเติบโตของธุรกิจ โดยวางงบลงทุนรวมภายใน 3 ปี ไว้ที่ 2,200 ล้านบาท แบ่งเป็น

1. โครงการขยายกำลังการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกในประเทศไทย มีแผนจะลงทุนเพิ่มเติมอีกประมาณ 40,000 ตันต่อปี ในช่วงปลายปี 65-68 ซึ่งเล็งเห็นโอกาสจากการที่รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันโรงงานหลักของ AAI มีกำลังการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกสูงสุด 42,000 ตันต่อปี และมีอัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ย 85%

2. โครงการลงทุนในคลังสินค้าอัตโนมัติแห่งที่ 2 มีแผนสร้างคลังสินค้าอัตโนมัติ (Auto Warehouse) แห่งที่ 2 ภายในปี 66 คาดว่าจะเก็บสินค้าได้ประมาณ 15,000-20,000 พาเลท เนื่องจากคลังสินค้าอัตโนมัติของบริษัทฯ อาจไม่เพียงพอ

3. ชำระคืนเงินกู้ยืมทั้งระยะสั้นและระยะยาว และจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ

ทั้งนี้บริษัทฯ มีเป้าหมายเป็นผู้ผลิตอาหารคนและอาหารสัตว์เลี้ยงระดับโลก โดยกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง (Pet Food) ตั้งเป้าเป็นผู้รับจ้างผลิตที่ครอบคลุมทั้งอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียก และอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเม็ด ด้วยการลงทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน การพัฒนางานด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ พร้อมนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลายให้เหมาะสม ยกระดับจากการเป็นผู้ร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Co-developer) เป็นคู่ค้าเชิงกลยุทธ์ (Strategic Partners) ที่เข้าใจความต้องการของคู่ค้าและพร้อมเติบโตไปด้วยกัน อีกทั้งวางเป้าหมายในการต่อยอดธุรกิจด้วยการมีแบรนด์ผลิตภัณฑ์ของตนเอง ทั้งอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกและแบบเม็ดเพื่อจัดจำหน่ายในประเทศและต่างประเทศ

กลุ่มธุรกิจอาหารพร้อมทานบรรจุภาชนะปิดผนึก (Human Food) ตั้งเป้าเป็นผู้รับจ้างผลิตอาหารในบรรจุภัณฑ์ปิดผนึก ทั้งในแบบกระป๋อง แบบถุงปิดสุญญากาศ (Pouch) และแบบบรรจุถ้วยพลาสติก ทั้งที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ปลาทูน่าเป็นวัตถุดิบหลัก และผลิตภัณฑ์อื่น มุ่งเน้นพัฒนาคุณภาพและความสามารถในการแข่งขัน เพื่อรักษาผลประกอบการที่ดี

ขณะที่มองอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงของโลก มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยหลักมาจากการที่ผู้คนมีความต้องการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงมากขึ้น เช่น การเปลี่ยนผ่านทางประชากรสู่กลุ่ม Millennial และ Generation Z ที่มีความรักสัตว์ เมื่อเทียบกับกลุ่มประชากรที่มีอายุมากกว่า, การขยายตัวของสังคมเมือง (Urbanization), การใช้ชีวิตของผู้คนในปัจจุบันซึ่งมีขนาดครอบครัวที่เล็กลงหรือการใช้ชีวิตคู่ที่ไม่มีลูก จึงนิยมรับสัตว์เลี้ยงมาเป็นเพื่อนร่วมชีวิต (Human Companion) เป็นต้น ส่งผลให้มีความผูกพันกับสัตว์เลี้ยงเป็นเสมือนเป็นหนึ่งในสมาชิกครอบครัว (Pet Humanization) เจ้าของสัตว์เลี้ยงจึงเลือกซื้ออาหารโดยคำนึงถึงคุณภาพ คุณค่าทางโภชนาการ ประโยชน์ต่อสุขภาพ รวมถึงที่มีรูปลักษณ์คล้ายกับอาหารที่ตนเองรับประทานอีกด้วย

ด้านตลาดอาหารคน หรือทูน่า ในช่วง 2-3 ปีที่ผานมา เทรนด์อาจปรับตัวลงเล็กน้อย แต่หากมองไปในอนาคต หรือปี 69 ยังมีการเติบโตต่อเนื่องโดยเฉลี่ยประมาณ 3% เนื่องจากปลาทูน่า ที่มีโปรตีนเพื่อสุขภาพ หรือมีโอเมก้า 3 เป็น Healthy Food รวมถึงยังมีอายุในการจัดเก็บได้นาน และยังได้ปัจจัยหนุนจากการเติบโตของ E-Commerce ด้วย อย่างไรก็ตามตลาดหลักของภาพรวมทั้งโลก ยังเป็นตลาดยุโรป ในสัดส่วน 40% ขณะที่ประเทศไทย เป็นประเทศที่ส่งออกปลาทูน่าอันดับ 1 ของโลก จากมีศักยภาพในการจัดเก็บ หรือมีห้องเย็น

นางสาววรัญรัชต์ อัสสานุพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายการเงิน AAI กล่าวว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรายได้ปี 65 เติบโตแตะ 6,200 ล้านบาท จากปีก่อนอยู่ที่ 4,985 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกของปีนี้ทำได้แล้ว 3,464 ล้านบาท เป็นไปตามการเติบโตของธุรกิจทั้ง 2 กลุ่มธุรกิจ ที่คาดมีสัดส่วนรายได้จากกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง (Pet Food) จำนวน 5,400 ล้านบาท และกลุ่มธุรกิจอาหารพร้อมทานบรรจุภาชนะปิดผนึก (Human Food) จำนวน 800 ล้านบาท จากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง การขยายตลาด และการเพิ่มกำลังการผลิต

สำหรับการเติบโตในปี 66 มองว่ายังมีความท้าท้ายอยู่ไม่ว่าจะเป็นตลาดอาหารสัตว์เลี้ยง และอาหารคน แม้ยังมีเทรนด์การเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ต้องยอมรับว่าอาจเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในยุโรป และตลาดสหรัฐฯ แต่อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ได้มีการพูดคุยกับทางลูกค้า ซึ่งในส่วนของอาหารสัตว์เลี้ยง พบว่าเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคจะตัดออกเป็นอันดับท้ายๆ หรือระดับเดียวกับอาหารทารก ทำให้มั่นใจในระดับหนึ่งว่า อาหารสัตว์เลี้ยงยังสามารถเติบโตต่อไปได้

นอกเหนือจากนี้ผลกระทบจากค่าขนส่ง ก็เริ่มปรับตัวลงมาแล้ว ทำให้ช่วยสนับสนุนกับทางฝั่งลูกค้า ส่วนในเรื่องของต้นทุนยังมีผลกระทบอยู่ แต่ทาง AAI ก็ได้มีการจัดการในเรื่องของต้นทุน โดยเฉพาะเรื่องของวัตถุดิบ ผ่านการเจรจากับทางลูกค้า และการจัดการภายในองค์กรควบคู่กันไป

“AAI ให้ความสำคัญในการผลิตเพื่อมุ่งเน้นให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด การลดต้นทุนการผลิต เพื่อเสริมสร้างศักยภาพในการทำกำไรให้ดีขึ้นอย่างสม่ำเสมอ โดยพูดคุยกับลูกค้าในการวางแผนการสั่งซื้อล่วงหน้าประมาณ 1 ปี และจะได้รับคำสั่งซื้อล่วงหน้าประมาณ 3 เดือน ซึ่งจะช่วยให้ฝ่ายวางแผนนำประมาณการคำสั่งซื้อดังกล่าว มาบริหารจัดการและประสานงานภายใน เพื่อสั่งซื้อวัตถุดิบและดำเนินการผลิตอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ รวมถึงส่งมอบสินค้าได้ตามกำหนดภายใต้ต้นทุนการผลิตที่เหมาะสม ส่งผลให้ AAI สามารถรักษาผลการดำเนินงานเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ และรักษาฐานลูกค้ารายสำคัญ รวมถึงสามารถยกระดับสถานะของบริษัทฯ จากการเป็นผู้ร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Co-developer) เป็นคู่ค้าเชิงกลยุทธ์ (Strategic Partner) และเป็นโอกาสพัฒนาความสัมพันธ์ทั้งในกลุ่มธุรกิจระดับต้นน้ำและปลายน้ำ (Up-stream / Down-stream)”

นางสาววรัญรัชต์ กล่าว

ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของ AAI แบ่งผลิตภัณฑ์เป็น 2 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ 1. ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง (Pet Food) สำหรับสุนัขและแมว ครอบคลุมทั้งผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกและผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงแบบเม็ด ภายใต้เครื่องหมายการค้าของลูกค้าที่เป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงระดับสากล และภายใต้เครื่องหมายการค้าของกลุ่มบริษัทฯ ประกอบด้วย แบรนด์มองชู (monchou) และแบรนด์มาเรีย (Maria) เจาะกลุ่มลูกค้าในตลาดพรีเมียม แบรนด์มองชู บาลานซ์ (monchou balanced) แบรนด์ฮาจิโกะ (Hajiko) เจาะกลุ่มลูกค้าในตลาดมวลชน และแบรนด์โปร (Pro) เจาะกลุ่มลูกค้าในตลาดที่มีการแข่งขันด้านราคาเป็นหลัก

2. ผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทานบรรจุภาชนะปิดผนึก (Human Food) ในรูปแบบผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าในน้ำปรุงรสและซอสปรุงรส รวมถึงผลิตภัณฑ์อาหารปรุงสุกพร้อมทาน (Ready-to-eat) ภายใต้เครื่องหมายการค้าของลูกค้าทั้งหมด นอกจากนี้ ยังจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผลพลอยได้ (By-product) จากการแปรรูปปลาทูน่า เช่น ผลิตภัณฑ์ปลาป่น ผลิตภัณฑ์น้ำนึ่งปลา และผลิตภัณฑ์น้ำมันปลา เป็นต้น

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (12 ต.ค. 65)

Tags: , , , ,
Back to Top