สบน.เล็งออกพันธบัตรออมทรัพย์ 1.3 แสนลบ.ปีงบ 66 ล็อตแรกขายธ.ค. 5 หมื่นลบ.

นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กล่าวว่า ในปีงบประมาณ 2566 (ต.ค.65-ก.ย.66) มีแผนออกพันธบัตรออมทรัพย์ (Savings Bond) จำนวน 1.3 แสนล้านบาท หลังจากประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในปีที่ผ่านมา โดยนักลงทุนให้การตอบรับเป็นอย่างดี ซึ่งภายในเดือน ธ.ค.นี้ สบน. วางแผนจะจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ล็อตแรก วงเงิน 5 หมื่นล้านบาท เพื่อทดแทนพันธบัตรออมทรัพย์ที่ครบอายุ

“ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เราประสบความสำเร็จกับการจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ผ่านรูปแบบวอลเล็ต สบม. (สะสมบอนด์มั่งคั่ง) อย่างมาก ได้รับการตอบรับดีมาก โดยตอนนี้ได้จำหน่ายผ่านช่องทางดังกล่าวแล้ว 4.02 หมื่นล้านบาท มีผู้ลงทุนกว่า 4.4 หมื่นราย กระจายไปทุกภูมิภาคทั่วประเทศ และกระจายไปทุกกลุ่มอายุ โดยเฉพาะวัยทำงาน อายุ 25-49 ปี รวมทั้งยังได้มีการเปิดการซื้อขายตลาดรอง (Sceondary Trading) ผ่านวอลเล็ต สบม. ซึ่งช่วยเพิ่มสภาพคล่องในตลาดตราสารให้สามารถเปลี่ยนมือ หรือเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ง่ายขึ้นด้วย” นางแพตริเซีย กล่าว

สำหรับความต้องการกู้เงินของรัฐบาลในปีงบประมาณ 2566 อยู่ที่ 2.21 ล้านล้านบาท แบ่งเป็น การกู้เงินใหม่ วงเงิน 7.74 แสนล้านบาท และการปรับโครงสร้างหนี้ (Roll Over) อีกราว 1.44 ล้านล้านบาท ซึ่งเครื่องมือในการระดมทุน แบ่งเป็น พันธบัตรระยะยาว วงเงิน 1.09 ล้านล้านบาท หรือ 49-50%, บอนด์ สวิชชิ่ง (Bond Switching) วงเงิน 1.4 แสนล้านบาท หรือ 6%, ตั๋วเงินคลัง (T-Bill) วงเงิน 5.4 แสนล้านบาท หรือ 24%, ตั๋วสัญญาใช้เงิน (PN) วงเงิน 2.82 แสนล้านบาท หรือ 13%, พันธบัตรออมทรัพย์ วงเงิน 1.3 แสนล้านบาท หรือ 6% และการกู้ยืมเงินจากต่างประเทศ (Foreign Borrowing) วงเงิน 3.35 หมื่นล้านบาท หรือ 2%

นางแพตริเซีย กล่าวด้วยว่า มี 2 ปัจจัยสำคัญที่ท้าทายการทำงานของ สบน. หลังจากนี้ คือ 1. ภาวะอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งที่ผ่านมา สบน. ได้พยายามเปลี่ยนดอกเบี้ยจากแบบลอยตัว (Float Rate) มาเป็นแบบคงที่ (Fix Rate) กว่า 80% แล้ว แต่ยอมรับว่าการกู้เงินในระยะถัดไปจะต้องเจอต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะพยายามใช้เครื่องมือต่าง ๆ เน้นการกระจายเครื่องมือให้ดี และดูแลนักลงทุนให้ครบทุกส่วน โดย สบน. มั่นใจว่าจะไม่ทำให้ต้นทุนในประเทศกระโดดสูงจนเกินไป เพราะจะเป็นภาระกับนักลงทุนและผู้กู้เงินในประเทศ

2. การของบชำระหนี้จากสำนักงบประมาณ ที่ผ่านมา จะมีการจัดสรรงบชำระหนี้เงินต้นราว 3% ของงบประมาณรายจ่าย เป็นไปตามกรอบคณะกรรมการวินัยการเงินการคลังที่กำหนดไว้ แต่ในส่วนนี้ ได้รวมงบชำระหนี้ของรัฐวิสาหกิจด้วย ซึ่ง สบน.ต้องการเห็นงบชำระหนี้ในส่วนนี้ที่นำมาชำระหนี้ภาครัฐมากขึ้นเป็น 3% โดยเมื่อรวมกับการชำระหนี้ของรัฐวิสาหกิจเป็นไม่เกิน 4% เพื่อลดภาระหนี้ของประเทศ ทำให้หนี้ปานกลางและระยะยาวของรัฐเป็นหนี้ที่แข็งแกร่ง และไม่เป็นภาระกับประเทศมากจนเกินไป

ทั้งนี้ ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2566 สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพี ณ สิ้นปีงบประมาณ 2566 คาดว่าจะอยู่ที่ 60.43% ภายใต้มูลค่าจีดีพีที่ 18.5 ล้านล้านบาท ซึ่งยังอยู่ใต้กรอบในการบริหารหนี้สาธารณะตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังที่ 70% จากสิ้นปีงบประมาณ 2565 หนี้สาธารณะอยู่ที่ 60.56% ของจีดีพี

“ประมาณการหนี้สาธารณะ ณ สิ้นปีงบประมาณ 2566 ที่ 60.43% นั้น ได้รวมการกู้เงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง จำนวน 3 หมื่นล้านบาทเรียบร้อยแล้ว แต่หากกองทุนฯ มีการกู้เงินอีก 1.2 แสนล้านบาท ซึ่งเต็มเพดานที่กฎหมายกู้เงินของกองทุนฯ กำหนดที่ 1.5 แสนล้านบาท ก็ประเมินว่าหนี้สาธารณะของประเทศ ณ สิ้นปีงบประมาณ 2566 จะขยับขึ้นไปอยู่ที่ 61.2% ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลัง แต่ก็เชื่อว่ากองทุนฯ จะไม่กู้เงินเต็มเพดาน โดยปัจจุบันกองทุนฯ ก็ยังไม่ได้มีการกู้เงินแต่อย่างใด” นางแพตริเซีย กล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (12 ต.ค. 65)

Tags: , ,
Back to Top