นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน ในฐานะประธานอนุกรรมการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้านการขับเคลื่อนการลดก๊าซเรือนกระจกจากการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อการดักจับ การใช้ประโยชน์และการกักเก็บคาร์บอนของประเทศ เปิดเผยว่า ที่ประชุมอนุกรรมการฯ ได้จัดขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อร่วมกันพิจารณา เสนอแนะ และให้ข้อคิดเห็นต่อแผนการดำเนินการด้านเทคโนโลยีเพื่อการดักจับการใช้ประโยชน์และการกักเก็บคาร์บอนของประเทศ (Carbon Capture, Utilization and Storage: CCUS) ในภาพรวมของประเทศ
“นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี และเป็นโอกาสของประเทศไทยในการร่วมสนับสนุนและส่งเสริมการใช้เทคโนโลยี CCUS เพื่อบรรลุเป้าหมาย ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ซึ่งในระยะต่อไป หน่วยงานต่าง ๆ จะมีการแต่งตั้งคณะทำงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การดำเนินงานเกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อให้ประเทศก้าวสู่สังคมคาร์บอนต่ำ สอดรับนโยบายรัฐบาล อีกทั้งยังจะส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศด้วย” นายสุพัฒนพงษ์ กล่าว
คณะอนุกรรมการฯ ชุดดังกล่าวตั้งขึ้นตามมติที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ เมื่อวันที่ 16 มี.ค.65 ที่มี พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนการดูดกลับก๊าซเรือนกระจกของประเทศ เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHGs Emission) ในปี 2608 ตามที่ประเทศไทยได้ประกาศเป้าหมายไปเมื่อการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 (COP 26) ณ กรุงกลาสโกว์ สหราชอาณาจักร
รวมทั้งเป็นการยกระดับการดำเนินงานเพื่อการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศร่วมกับประชาคมโลก โดยการนำเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน มาประยุกต์ใช้ในภาคพลังงานและภาคอุตสาหกรรมอย่างแพร่หลาย
คณะอนุกรรมการฯ ชุดดังกล่าว ประกอบด้วยผู้แทนต่างๆ ทั้งจากภาคพลังงานและอุตสาหกรรม เพื่อเป็นการสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกในองค์รวมของประเทศไทยได้อย่างเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
โดยมีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน เป็นคณะอนุกรรมการและเลขานุการคณะอนุกรรมการฯ เนื่องจากเป็นองค์กรที่มีองค์ความรู้และประสบการณ์การสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศไทย ตลอดจนมีความเข้าใจในกระบวนการทางด้านธรณีวิทยาปิโตรเลียม และวิศวกรรมปิโตรเลียม โดยเฉพาะการบริหารจัดการแหล่งกักเก็บปิโตรเลียมใต้ผิวดิน ซึ่งสามารถนำความรู้ดังกล่าวมาประยุกต์ใช้ในการวางแผน การศึกษา วิจัย และการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์จากทั้งภาคพลังงานและภาคอุตสาหกรรม มากักเก็บในชั้นหินทางธรณีวิทยาใต้ผิวดิน
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา กระทรวงพลังงานได้พยายามผลักดันให้เกิดความร่วมมือในด้านการพัฒนาเทคโนโลยี CCUS โดยรวบรวมโครงการการดำเนินงานในประเทศไทยที่ผ่านมา พร้อมกับแผนงานที่อยู่ระหว่างดำเนินการด้านการดักจับ การใช้ประโยชน์และการกักเก็บคาร์บอน (CCUS) ภายใต้ความรับผิดชอบของหน่วยงานต่าง ๆ และเชิญผู้เชี่ยวชาญด้าน CCUS จากองค์กรทั้งในและต่างประเทศ อาทิ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) บมจ.ปูนซีเมนต์ไทย (SCC) บริษัท บีแอลซีพี เพาเวอร์ จำกัด Japan Oil,Gas and Metals National Corporation (JOGMEC), Ministry of Economy, Trade and Industry (METI) ประเทศญี่ปุ่น , สหราชอาณาจักร และอื่น ๆ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็น และแนวทางการพัฒนา พร้อมทั้งแสวงหาความร่วมมือกับนานาประเทศและองค์กรระหว่างประเทศ เพื่อส่งเสริมและผลักดันการดำเนินงานและพัฒนา CCUS ในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน
สำหรับการเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) นั้น คือการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิให้เป็นศูนย์ ซึ่งมีการดำเนินงานในสองแนวทาง คือ 1. การดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมา อาทิ การปลูกป่าเพื่อเพิ่มจำนวนต้นไม้ และ 2. การลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ คือ การลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบพลังงานหมุนเวียนในสัดส่วนที่มากขึ้น และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยการยกระดับในทุกภาคส่วน ทั้งโรงไฟฟ้า ภาคขนส่ง ภาคครัวเรือน และภาคอุตสาหกรรม
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (19 ต.ค. 65)
Tags: ก๊าซเรือนกระจก, ความเป็นกลางทางคาร์บอน, พลังงาน, สิ่งแวดล้อม, สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์