KTB คาดต่างชาติระยะใกล้หนุนตลาดท่องเที่ยวไทยปี 66 หวังนักท่องเที่ยวจีนฟื้นตัวเต็มที่ปี 67

Krungthai COMPASS ประเมินว่า แม้การเปิดประเทศในครึ่งหลังของปีนี้ จะส่งเสริมให้ประเทศไทยสามารถรับนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งปี 65 ได้ 10.2 ล้านคน แต่ยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำมากเมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ในปี 62 ที่ไทยเคยรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้สูงเกือบ 40 ล้านคน โดยคาดว่าตลาดการท่องเที่ยวในปี 65 มีมูลค่า 1.1 ล้านล้านบาท ซึ่งจะมาจากรายได้นักท่องเที่ยวไทยเป็นหลัก และยังต่ำกว่าปี 62 ที่มีมูลค่าตลาดกว่า 2.7 ล้านล้านบาท อย่างเห็นได้ชัด

อย่างไรก็ดี การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ต่อเนื่องมายังปี 64 ทำให้มูลค่าตลาดท่องเที่ยวของไทยในปี 64 ได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงเหลือเพียง 0.4 ล้านคน จากที่เคยอยู่ในระดับ 39.9 ล้านคน ในปี 62 และมีมูลค่าตลาดเหลือเพียง 2.4 แสนล้านบาท หรือลดลงมากกว่า 90% เมื่อเทียบกับปี 62 ส่งผลกระทบต่อหลายธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว อาทิ ธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

ทั้งนี้ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่บรรเทาลง ทำให้ในช่วงกลางปี 65 ภาครัฐได้ผ่อนคลายมาตรการในการเดินทางเข้าประเทศอย่างต่อเนื่อง เช่น การยกเลิกระบบ Test & Go และ Thailand Pass เพื่อเปิดประเทศเต็มรูปแบบ ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวฟื้นตัวดีขึ้น

โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ก.ย.65) มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ เดินทางเข้าประเทศไทยรวม 5.7 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 6,526% อย่างไรก็ตาม จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติดังกล่าว ยังคิดเป็นสัดส่วนเพียง 19% ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วง 9 เดือนแรกของปี 62 เท่านั้น

Krungthai COMPASS คาดว่าในปี 66-67 ภาคการท่องเที่ยวไทยจะฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัด จาก 4 ปัจจัยหนุน ดังนี้

1. นักท่องเที่ยวต่างชาติระยะใกล้ แห่เที่ยวไทยหลังเปิดประเทศ นักท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวกลับมาในปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติระยะใกล้ อาทิ มาเลเซีย อินเดีย สิงคโปร์ และเวียดนาม เป็นหลัก โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 65 มีกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติระยะใกล้ที่เดินทางมาไทย 3.6 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วน 63.7% ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด

ทั้งนี้ เป็นผลจากการเปิดประเทศในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะการผ่อนคลายมาตรการเดินทางข้ามพรมแดน หลังจากที่มีการปิดพรมแดนมานานกว่า 2 ปี ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีพรมแดนติดกับประเทศไทย โดยเฉพาะมาเลเซีย เริ่มเดินทางกลับมาท่องเที่ยวมากขึ้น เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวในประเทศไทยต่ำกว่าเมื่อเทียบกับการท่องเที่ยวในประเทศตนเอง รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวมีความน่าสนใจมากกว่า

Krungthai COMPASS มองว่าในปี 66 นักท่องเที่ยวต่างชาติระยะใกล้ เช่น มาเลเซีย อินเดีย สิงคโปร์ ยังคงเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวไทย ก่อนที่นักท่องเที่ยวที่เป็นตลาดหลักอย่างจีน จะฟื้นตัวกลับสู่ภาวะปกติได้ในปี 67

อย่างไรก็ดี เป็นข้อสังเกตว่านักท่องเที่ยวต่างชาติระยะใกล้ โดยเฉพาะในกลุ่มอาเซียน เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม มักมีพฤติกรรมในการพำนักในไทยไม่นาน โดยมีระยะเวลาพำนักเฉลี่ยประมาณ 2-5 วัน ส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายต่อคนต่อทริปไม่สูงนัก

ขณะที่ข้อมูลล่าสุดในปี 62 ชี้ว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติระยะใกล้ จะมีค่าใช้จ่ายต่อทริปประมาณ 25,000-38,000 บาทต่อคน ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโดยรวมที่ 41,240 บาทต่อคน อย่างเห็นได้ชัด ขณะที่นักท่องเที่ยวกลุ่มหลักอย่างชาวจีน และชาวยุโรป จะมีระยะเวลาพำนักนานกว่าที่ 7-8 วัน และ 17 วัน ตามลำดับ

ทั้งนี้ จากตัวเลขจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติระยะใกล้ที่เดินทางมาไทยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 65 ที่มีสัดส่วนกว่า 63.7% ส่งผลให้ Krungthai COMPASS ประเมินว่าค่าใช้จ่ายต่อคนต่อทริปของนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉลี่ยในปี 65 มีแนวโน้มปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 37,458 บาทต่อคน หรือลดลง 9% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดโควิด-19

2. นักท่องเที่ยวต่างชาติในกลุ่มอื่นๆ ก็พร้อมที่จะเดินทางหลังอัดอั้นมานานกว่า 3 ปี Krungthai COMPASS มองว่านักท่องเที่ยวต่างชาติในกลุ่มอื่นๆ มีความต้องการเที่ยวสะสมมาตั้งแต่ช่วงการระบาดของโควิด-19 และพร้อมที่จะปลดปล่อยในช่วงปี 66-67

อย่างไรก็ดี แม้ปัจจุบันการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวไทยจะมาจากนักท่องเที่ยวในกลุ่มอาเซียนเป็นหลัก และในปี 66 ก็คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจีนอาจยังไม่กลับมาในระดับปกติ แต่คาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มอื่นๆ ในภาพรวมยังคงมีความต้องการเดินทางท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่มีข้อจำกัดในการเดินทางระหว่างประเทศมากว่า 2-3 ปี

3. นักท่องเที่ยวจีนส่วนใหญ่พร้อมกลับมาเที่ยวไทย เมื่อไหร่ก็ตามที่นโยบาย Zero-COVID ถูกยกเลิก ปัจจุบันนักท่องเที่ยวจีนยังคงไม่สามารถกลับมาเดินทางได้เป็นปกติ และคาดว่าจะยังไม่มีการยกเลิกมาตรการ Zero-COVID ในปี 65 นี้ หลังจากที่ประเทศจีนมีการนโยบายควบคุมเดินการเดินทางเข้าออกประเทศอย่างไม่มีกำหนดมาตั้งแต่ปี 63 ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลงอย่างมาก โดยในปี 62 นักท่องเที่ยวชาวจีน ถือเป็นตลาดนักท่องเที่ยวหลักที่สร้างรายได้ให้กับภาคการท่องเที่ยวไทยกว่า 5.3 แสนล้านบาท

อย่างไรก็ดี แม้ประเทศไทยจะมีการเปิดประเทศเต็มรูปแบบตั้งแต่เดือน ก.ค. 65 แต่จำนวนนักท่องเที่ยวจีนยังฟื้นตัวได้ในระดับต่ำ ซึ่งสาเหตุมาจากมาตรการ Zero-COVID (ผู้ที่จะเดินทางออกนอกประเทศจีนในปัจจุบัน ต้องมีวัตถุประสงค์เพื่อการทำงาน การศึกษา การทำธุรกิจเกี่ยวกับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ และการรักษาทางการแพทย์เท่านั้น) โดยนักท่องเที่ยวจีนในช่วงครึ่งปีแรกของปี 65 เฉลี่ยอยู่ที่ 10,000 คนต่อเดือน และเพิ่มเป็น 32,320 คนในเดือน ก.ย. 65 หลังไทยเปิดประเทศเต็มรูปแบบ ซึ่งยังต่ำกว่าปี 62 ที่มีนักท่องเที่ยวชาวจีนเฉลี่ยราว 9.3 แสนคนต่อเดือน อย่างมาก

ปัจจุบัน แม้รัฐบาลจีนจะประกาศขยายอายุมาตรการ Zero-COVID ออกไปอย่างไม่มีกำหนด แต่ Krungthai COMPASS มองว่า เมื่อจีนเริ่มผ่อนคลายมาตรการดังกล่าวลงในช่วงไตรมาส 2 ของปี 66 คาดว่านักท่องเที่ยวจีนจะเดินทางมาไทยมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีนจะยังคงทยอยฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากคาดว่าการผ่อนคลายนโยบาย Zero-COVID ของจีน จะอยู่ในรูปแบบของการทยอยผ่อนคลายเป็นรายมณฑล มากกว่าการประกาศยกเลิกนโยบายพร้อมกันทั่วประเทศ โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจีนกลับมาสู่ระดับปกติได้ในปี 67

“นักท่องเที่ยวชาวจีนเป็นกลุ่มที่ความสำคัญต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของโลก โดยในปี 62 มีจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางท่องเที่ยวระหว่างประเทศรวมกว่า 155 ล้านคน ซึ่งมีการมูลค่ารวมกว่า 8.6 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 17% ของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวโลก ทั้งนี้ หลังจากที่จีนมีมาตรการควบคุมการเดินทางระหว่างประเทศ เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้มีผลกระทบอย่างหนักต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยในปี 63 จำนวนนักท่องเที่ยวจีนโดยรวมลดลงจาก 155 ล้านคน เหลือเพียง 20 ล้านคน”

บทวิเคราะห์ ระบุ

4. ตลาดท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness tourism) โอกาสใหม่ในยุค New Normal จะเป็น Upside สำคัญต่อภาคการท่องเที่ยวของไทย Global Wellness Institute (GWI) ได้ประเมินว่า Wellness Tourism ของโลกมีแนวโน้มเติบโตสูงกว่าปีละ 20.9% จากมูลค่า 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 63 เป็น 11 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 68 ทั้งนี้ มีแรงผลักดันหลักจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรของโลกเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และวิถีชีวิตของคนในยุคปัจจุบันที่มีภาวะความเครียดมากมาย ทำให้ Wellness Tourism ถือเป็นโอกาสสำคัญของผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย

โดย GWI ได้จัดอันดับ Wellness Tourism ของไทยอยู่ในลำดับที่ 15 ของโลก และอันดับที่ 4 ของเอเชียแปซิฟิก เนื่องจากไทยมีจุดแข็งในด้านค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าเมื่อเทียบกับคุณภาพที่ได้รับ

Krungthai COMPASS จึงมองตลาด Wellness Tourism ว่าจะเป็น Upside สำคัญของภาคการท่องเที่ยวไทย เนื่องจากเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพและมีแนวโน้มเติบโตดี รวมถึงค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวต่อคนต่อทริปค่อนข้างสูง ดังนั้น ในปี 65-66 ที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติยังไม่ฟื้นตัวกลับสู่ระดับปกติ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เช่น ธุรกิจโรงแรม อาจปรับกลยุทธ์ธุรกิจโดยการหันไปทำตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่ม Wellness แทนกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติทั่วไป ซึ่งจะทำให้การฟื้นตัวเป็นไปได้เร็วขึ้น

ทั้งนี้ Krungthai COMPASS ประเมินจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 65 จะอยู่ที่ 10.2 ล้านคน และมีมูลค่าตลาดการท่องเที่ยวรวม 1.1 ล้านล้านบาท โดยในช่วงไตรมาส 4 ของปี 65 ที่จะเริ่มเข้าสู่ช่วง High Season นอกจากนี้ ค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่า และการที่ภาครัฐมีนโยบายขยายระยะเวลาพำนักของชาวต่างชาติที่เดินทางมายังไทยจากเดิมสูงสุดไม่เกิน 30 วัน เป็น 45 วัน จะทำให้ประเทศไทยมีความน่าสนใจสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติมากขึ้น โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะฟื้นตัวเร่งขึ้นอยู่ในระดับ 1.5 ล้านคนต่อเดือน

รวมไปถึงจำนวนนักท่องเที่ยวในประเทศที่ฟื้นตัวใกล้เคียงระดับปกติแล้ว จากการประกาศให้โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น และการฉีดวัคซีนที่ครอบคลุมมากขึ้น ทำให้คนไทยมีความมั่นใจและเริ่มกลับไปใช้ชีวิตเป็นปกติ

“ทั้งปี 65 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งสิ้น 10.2 ล้านคน ซึ่งคิดเป็น 25% จากระดับ 39.9 ล้านคนในปี 62 เท่านั้น เนื่องจากนักท่องเที่ยวจีนซึ่งเป็นกลุ่มหลักยังไม่สามารถกลับมาเดินทางได้ปกติ” บทวิเคราะห์ ระบุ

สำหรับปี 66 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะขยายตัวขึ้นเป็น 21.4 ล้านคน โดยคาดว่ามูลค่าตลาดการท่องเที่ยวจะอยู่ที่ 1.6 ล้านล้านบาท โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลัก จากการที่หลายประเทศจะเริ่มเปิดประเทศและผ่อนคลายมาตรการเดินทางระหว่างประเทศมากขึ้น รวมถึงนักท่องเที่ยวชาวจีนซึ่งเป็นตลาดหลักจะเริ่มทยอยกลับมาเดินทางได้ประมาณช่วงไตรมาส 2 ของปี 66 ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในภาพรวมจะฟื้นตัวดีขึ้น จากความต้องการเดินทางท่องเที่ยวที่สะสมมานานกว่า 2-3 ปี

ทั้งนี้ การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีนจะยังคงทยอยฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากคาดว่าการผ่อนคลายนโยบาย Zero-COVID ของจีนจะอยู่ในรูปแบบของการทยอยผ่อนคลายเป็นรายมณฑล มากกว่าการประกาศยกเลิกนโยบายพร้อมกันทั่วประเทศ ทำให้ในปี 65-66 สัดส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะยังมาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติระยะใกล้เป็นหลัก ซึ่งค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวต่อคนต่อทริปจะยังอยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด-19

ส่วนในปี 67 คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในภาพรวมจะฟื้นตัวกลับมาใกล้เคียงระดับปกติ โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะขยายตัวขึ้นเป็น 34.7 ล้านคน และมูลค่าตลาดการท่องเที่ยวจะอยู่ที่ 2.4 ล้านล้านบาท ทั้งนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวจะกลับมาอยู่ในระดับ 3.0-3.5 ล้านคนต่อเดือน ได้ประมาณช่วงไตรมาส 4 ของปี 67

ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติรวมในปี 67 จะกลับมาในระดับ 87% เมื่อเทียบกับปี 62 ขณะที่สัดส่วนนักท่องเที่ยวที่มีค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวต่อคนต่อทริปสูง เช่น จีน ยุโรป สหรัฐอเมริกา จะฟื้นตัวกลับมาใกล้เคียงระดับปกติ ส่งผลให้มูลค่าตลาดการท่องเที่ยวในปี 67 ฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตาม เป็นข้อสังเกตว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 65-66 จะยังคงอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับปี 62 ที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวรวม 39.9 ล้านคนค่อนข้างมาก รวมถึงนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ยังคงเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติระยะใกล้ ซึ่งมีการใช้จ่ายต่อคนต่อทริปค่อนข้างน้อย ซึ่งยังกดดันให้ค่าใช้จ่ายต่อคนต่อทริปอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงก่อนเกิดโควิด-19

ขณะเดียวกัน ส่งผลต่อเนื่องให้ภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เช่น โรงแรม ร้านอาหาร ฯลฯ ยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายในอนาคต อีกทั้งต้นทุนทางธุรกิจยังคงมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นจากค่าแรงงานขั้นต่ำ ค่าไฟฟ้า รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาขึ้น ท่ามกลางภาวการณ์แข่นขันที่รุนแรง

ดังนั้น ภาคธุรกิจอาจต้องปรับตัวโดยการลดการพึ่งพานักท่องเที่ยวกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเพื่อกระจายความเสี่ยง หรือทำกิจกรรมทางการตลาดเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง และนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ๆ เช่น กลุ่ม Wellness Tourism ที่มีค่าใช้จ่ายต่อคนต่อทริปค่อนข้างสูง (กลุ่ม Digital Nomad) ที่เข้ามาพำนักเพื่อการทำงานผ่านระบบดิจิทัล (วิดีโอคอนเฟอเรนซ์ อีเมล ฯลฯ) ซึ่งมีระยะเวลาเข้าพักนานกว่ากลุ่มนักท่องเที่ยวทั่วไป รวมถึงพยายามเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานเพื่อลดต้นทุนลง ก่อนที่ภาคการท่องเที่ยวจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติในช่วงปลายปี 67

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (01 พ.ย. 65)

Tags: , , , ,
Back to Top