บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) เปิดเผยว่า ในไตรมาส 3/65 ผลขาดทุนสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทฯ เป็น 2,757.1 ล้านบาท ขาดทุนมากขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุน 602.8 ล้านบาท จากค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายเพื่อสนับสนุนการขยายโครงข่าย 5G และการให้บริการซึ่งเพิ่มขึ้น 12.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อน และขาดทุนทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 365.6 ล้านบาท เมื่อเทียบกับกำไรทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 218.3 ล้านบาทในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
กลุ่มทรู มีรายได้จากการให้บริการ 26,199.4 ล้านบาทและรายได้จากการขาย 5,236.5 ล้านบาทในไตรมาส 3/65 เพิ่มขึ้นจากผลตอบรับที่ดีต่อแคมเปญการขายโทรศัพท์เคลื่อนที่และฐานลูกค้าที่เพิ่มสูงขึ้น ท่ามกลางแรงกดดันจากปัจจัยต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจ EBITDA อยู่ที่ 14,367.8 ล้านบาท ทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 3.2% จากไตรมาสก่อน หนุนโดยมาตรการบริหารค่าใช้จ่ายอย่างอย่างต่อเนื่อง
การมุ่งเน้นขยายโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล 5G และบรอดแบนด์ซึ่งครอบคลุมสูงสุดทั่วประเทศควบคู่ไปกับการสรรหาสิทธิประโยชน์ที่คุ้มค่าและคอนเทนต์ที่เหนือกว่าได้อย่างครบทุกมิติและทุกแพลตฟอร์ม รวมถึงการนำความโดดเด่นด้านเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ทำให้ฐานลูกค้าของกลุ่มทรูเติบโตสูงทั้งผู้ใช้งาน 5G บรอดแบนด์และกล่องทรูไอดีทีวีที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็น 4.5 ล้านราย 4.9 ล้านราย และ 3.5 ล้านกล่อง ตามลำดับ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทรูไอดีที่มีผู้ใช้งานรายเดือน (MAU) เพิ่มขึ้นสูงสุดเป็น 36 ล้านราย อีกทั้งยังได้รับการยอมรับในระดับสากลเป็นหนึ่งในห้าแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งที่ได้รับความนิยมสูงสุดในประเทศไทยและขึ้นเป็นแพลตฟอร์มไทยอันดับที่ 1 จากรายงานจัดอันดับแพลตฟอร์มดิจิทัลในปี 2565 ของนีลเส็น โชว์ศักยภาพที่แข็งแกร่งในการให้บริการดิจิทัลคอนเทนต์พร้อมสร้างการเติบโตในระดับภูมิภาคและขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีระดับภูมิภาคต่อไป
นายมนัสส์ มานะวุฒิเวช กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) TRUE กล่าวว่า ในไตรมาส 3/65 ผู้บริโภคโดยรวมยังคงใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง เนื่องจากสภาวะทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวได้ช้าจากภาวะเงินเฟ้อ ค่าครองชีพและต้นทุนด้านพลังงานที่เพิ่มขึ้น รวมถึงสภาวะการแข่งขันของอุตสาหกรรมซึ่งยังคงอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม กลุ่มทรูยังสามารถปรับตัวและเติบโตได้
ทั้งนี้ก็ด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนาสินค้าและการแสวงหาแนวทางการให้บริการที่มีคุณภาพสูงขึ้น โดยมีเป้าหมายชัดเจนที่จะตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่มด้วยการให้บริการผ่านข้อเสนอแบบเฉพาะเจาะจงหรือ personalization ที่ได้ดำเนินการมาระยะหนึ่ง ปรากฎว่ามีผลตอบรับที่ดีต่อเนื่อง อีกทั้งการใช้ประโยชน์จากดิจิทัล อย่าง AI Analytics ยังเพิ่มประสิทธิภาพในการนำเสนอแคมเปญที่ตอบโจทย์ตรงใจไลฟ์สไตล์ลูกค้าในแต่ละกลุ่มได้ชัดเจนและดียิ่งขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น ยังได้โอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ จากการขยายโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่และบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตที่เข้าถึงบ้านลูกค้าด้วยการผสานกับบริการด้านดิจิทัลมีเดียและเอ็นเตอร์เทนเมนต์ ทั้งแคมเปญ True Unlock TV พร้อมคอนเทนต์คุณภาพอีกมากมายบนกล่องทรูไอดีทีวี รวมถึงอุปกรณ์ไอโอทีและโซลูชันผ่าน CCTV cloud เปลี่ยนบ้านให้เป็นบ้านอัจฉริยะ และต่อจากนี้บริษัทจะเดินหน้าขยายระบบนิเวศและพัฒนาโซลูชันสำหรับลูกค้าทั้งในกลุ่มผู้บริโภค (B2C) และภาคธุรกิจ (B2B) เพิ่มเติมเพื่อสร้างการเติบโตและเร่งให้เกิดดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันในอีกหลากหลายอุตสาหกรรม ซึ่งจะส่งผลดีต่อผลประกอบการของทรูในอนาคต
นางสาวยุภา ลีวงศ์เจริญ หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่ม ด้านการเงิน TRUE กล่าวว่า กลุ่มทรูยังคงเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารต้นทุนได้อย่างต่อเนื่องแม้จะมีต้นทุนด้านพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ค่าใช้จ่ายโดยรวมลดลงในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ทำให้ EBITDA และ
อย่างไรก็ตามภาคธุรกิจการท่องเที่ยวที่มีสัญญาณบวกของปริมาณนักท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้นและกิจกรรมต่างๆ ในประเทศที่เริ่มกลับมาคึกคักมากขึ้น เป็นปัจจัยสนับสนุนที่ส่งผลต่อทิศทางการเติบโตและการสร้างรายได้ในไตรมาสถัดๆ ไป และเรายังจะเดินหน้าปรับโครงสร้างต้นทุนอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการมุ่งเน้นนำเทคโนโลยีมาขับเคลื่อนองค์กรเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น และเป็นการลดต้นทุนในขณะเดียวกันพร้อมก้าวสู่การเป็นองค์กรที่เติบโตได้อย่างยั่งยืนต่อไป
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (15 พ.ย. 65)
Tags: TRUE, ทรู คอร์ปอเรชั่น, มนัสส์ มานะวุฒิเวช, ยุภา ลีวงศ์เจริญ