ไทยเนื้อหอม! 11 เดือนต่างชาติหอบเงินลงทุนกว่าแสนล้าน ญี่ปุ่นครองแชมป์

นายสินิตย์ เลิศไกร รมช.พาณิชย์ เปิดเผยว่า คณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ภายใต้ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 ได้อนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจเฉพาะในเดือนพ.ย.65 จำนวน 50 ราย แบ่งเป็น ใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว จำนวน 17 ราย และหนังสือรับรองประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว จำนวน 33 ราย เม็ดเงินลงทุนทั้งสิ้น 6,029 ล้านบาท จ้างงานคนไทยกว่า 373 คน

โดยธุรกิจที่คนต่างด้าวได้รับอนุญาต ได้แก่ 1.บริการติดตั้งและทดสอบ ซ่อมแซมบำรุงรักษา รวมทั้งให้คำปรึกษาแนะนำและฝึกอบรมเกี่ยวกับสินค้าประเภทตู้ควบคุมแรงดันไฟฟ้า (Switchgear) และหม้อแปลงไฟฟ้า 2.บริการขยายระบบ ทดสอบ บำรุงรักษา และให้คำแนะนำสำหรับการดำเนินการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพเกี่ยวกับระบบการจัดการสิทธิดิจิทัล ระบบการนำเสนอเนื้อหาสารสนเทศฯ สำหรับการขยายแพลตฟอร์มระบบการให้บริการรายการโทรทัศน์ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต 3.บริการศูนย์กระจายสินค้าระหว่างประเทศด้วยระบบที่ทันสมัย 4.บริการทางวิศวกรรมและเทคนิค เช่น การปรับปรุงขั้นตอนการผลิตสินค้า การปรับปรุงและพัฒนาระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ (Robotics and Automation System) และการบริหารจัดการสินค้าคงคลัง เป็นต้น และ 5.บริการรับจ้างผลิตผลิตภัณฑ์แผ่นซับน้ำนม ผลิตภัณฑ์จุกนมเทียม จุกนม ขวดนม ถุงเก็บน้ำนมมารดา ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและอุปกรณ์เครื่องใช้สำหรับมารดา เด็ก และทารก เป็นต้น

ส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่น สิงคโปร์ และสหรัฐอเมริกา รวมถึงมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีอันเป็นองค์ความรู้เฉพาะด้านโดยตรงจากประเทศผู้เข้ามาลงทุนให้แก่คนไทย เช่น องค์ความรู้เกี่ยวกับหลักการทดสอบและตรวจสอบการทำงานของตู้ควบคุมแรงดันไฟฟ้า องค์ความรู้เกี่ยวกับการทำงานของระบบที่เกี่ยวข้องกับ Internet Protocol Television (IPTV) เป็นต้น

ขณะที่ในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-พ.ย. 65) ได้อนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในไทย รวมแล้ว 530 ราย แบ่งเป็น ใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 198 ราย และหนังสือรับรองประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 332 ราย คิดเป็นเม็ดเงินลงทุนทั้งสิ้น 112,466 ล้านบาท ส่งผลให้เกิดจ้างแรงงานไทย 5,008 คน

โดยชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ญี่ปุ่น 137 ราย (26%) เงินลงทุน 39,000 ล้านบาท รองลงมา สิงคโปร์ 85 ราย (16%) เงินลงทุน 11,999 ล้านบาท, สหรัฐอเมริกา 70 ราย (13%) เงินลงทุน 3,343 ล้านบาท, ฮ่องกง 38 ราย (7%) เงินลงทุน 8,451 ล้านบาท และจีน 25 ราย (5%) เงินลงทุน 22,677 ล้านบาท

ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 (ม.ค. – พ.ย.) พบว่า การอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย เพิ่มขึ้น 30 ราย คิดเป็น 6% (ปี 2565 อนุญาต 530 ราย ปี 2564 อนุญาต 500 ราย) เม็ดเงินลงทุนเพิ่มขึ้น 47,884 ล้านบาท คิดเป็น 74% (ปี 2565 ลงทุน 112,466 ล้านบาท ปี 2564 ลงทุน 64,582 ล้านบาท) และจ้างงานคนไทยเพิ่มขึ้น 5 ราย คิดเป็น 0.1% (ปี 2565 จ้างงาน 5,008 คน ปี 2564 จ้างงาน 5,003 คน) โดยปี 2564 ชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนสูงสุด คือ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และ สหรัฐอเมริกา เช่นเดียวกับปี 2565

รมช.พาณิชย์ กล่าวว่า เดือนมกราคม – พฤศจิกายน 2565 ธุรกิจที่ได้รับอนุญาตฯ ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจที่สอดคล้องกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ นโยบายส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐ และสนับสนุนธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ อาทิ

– บริการออกแบบ ก่อสร้าง ติดตั้ง และตรวจสอบระบบกักเก็บพลังงาน สำหรับโครงการโรงผลิตไฟฟ้าแบบผสมผสานสำหรับสนามบินอู่ตะเภา

– บริการขุดเจาะหลุมปิโตรเลียมภายในบริเวณพื้นที่แปลงสำรวจที่ได้รับสัมปทานในอ่าวไทย, บริการขุดลอก ถมทะเล และก่อสร้างม่านดักตะกอนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด

– บริการสถานีอัดประจุไฟฟ้า (Electric Vehicle Charging Station) สำหรับรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า

– บริการทางวิศวกรรมและเทคนิค เช่น การให้คำปรึกษาเชิงเทคนิคแบบครบวงจรในการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ การช่วยเหลือด้านการออกแบบ การพัฒนา และทดสอบระบบ

– บริการศูนย์กระจายสินค้าระหว่างประเทศด้วยระบบที่ทันสมัย

– บริการพัฒนาและให้บริการซอฟต์แวร์ด้านวิเคราะห์และเชื่อมโยงเพื่อบริหารจัดการข้อมูล Big Data, Data Analytics

นายสินิตย์ ยังกล่าวถึงการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ของนักลงทุนต่างชาติ เดือนม.ค. – พ.ย. 65 มีนักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 105 ราย คิดเป็น 20% ของจำนวนนักลงทุนทั้งหมด มีมูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 48,316 ล้านบาท คิดเป็น 43% ของเงินลงทุนทั้งหมด ทั้งนี้ เป็นนักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่น 42 ราย เงินลงทุน 24,520 ล้านบาท จีน 9 ราย เงินลงทุน 10,956 ล้านบาท และ สิงคโปร์ 9 ราย เงินลงทุน 2,156 ล้านบาท

โดยประเภทธุรกิจที่ลงทุน อาทิ 1) บริการศูนย์กระจายสินค้าระหว่างประเทศด้วยระบบที่ทันสมัย 2) บริการพัฒนาซอฟต์แวร์ ซึ่งเป็นการออกแบบและพัฒนาระบบบริหารจัดการควบคุมการผลิตในโรงงาน และระบบบริหารจัดการสินค้าคงคลัง และ 3) บริการทางวิศวกรรมและเทคนิค เช่น การพัฒนาแอปพลิเคชัน การอัพเกรดซอฟต์แวร์ต่าง ๆ เป็นต้น

รมช.พาณิชย์ คาดว่าเดือนสุดท้ายของปี 2565 (ธันวาคม) จะมีนักลงทุนต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจากภาครัฐมีมาตรการส่งเสริมการลงทุน กระตุ้นเศรษฐกิจโดยผ่อนคลายให้มีการเปิดประเทศ และเพิ่มการอำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุน ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศเพิ่มขึ้น เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยเสริมให้เศรษฐกิจของไทยฟื้นตัวได้เร็วขึ้น

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (16 ธ.ค. 65)

Tags: , , , ,
Back to Top