RT หวังพลิกมีกำไร H2/66 ทยอยส่งมอบงานบุ๊ครายได้ พร้อมจ่อประมูลงานใหม่ตุน Backlog

นายชวลิต ถนอมถิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไร้ท์ทันเน็ลลิ่ง (RT) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 66 เติบโต 100% และคาดว่าจะสามารถพลิกกลับมามีกำไรในช่วงครึ่งปีหลังของปี 66 โดยบริษัทมุ่งเน้นแผนกลยุทธ์พัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงานก่อสร้างให้มีความรวดเร็ว เพื่อส่งมอบงานก่อสร้างในมือให้แล้วเสร็จตามแผน อีกทั้งเดินหน้าแผนการบริหารจัดการต้นทุนก่อสร้างต่อเนื่องจากปีก่อน โดยมีการติดตามแนวโน้มราคาและการวางแผนการสั่งซื้อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาวัสดุ อีกทั้งบริษัทมีความร่วมมือกับพันธมิตรก่อสร้างเพื่อลดต้นทุนการก่อสร้างและเพิ่มศักยภาพการเข้ารับงานในอนาคต

ขณะที่บริษัทสามารถรับรู้รายได้จากงานก่อสร้าง อาทิ งานก่อสร้างอุโมงค์ในโครงการรถไฟทางคู่สายตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ สัญญาที่ 3 จ.สระบุรี-จ.นครราชสีมา, โครงการก่อสร้างอุโมงค์ส่งน้ำช่วงแม่แตง-แม่งัด จ.เชียงใหม่, โครงการก่อสร้างอุโมงค์ส่งน้ำตามแนวคลองมหาสวัสดิ์จากโรงงานผลิตน้ำมหาสวัสดิ์ถึง ถ.ราชพฤกษ์, โครงการก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำคลองทวีวัฒนา บริเวณคอขวด, โครงการก่อสร้างบ่อพักและท่อร้อยสายไฟฟ้าใต้ดินร่วมกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง, โครงการก่อสร้างทางหลวง อ.นาทวี จ.สงขลา และ งานก่อสร้างโครงการรถไฟทางคู่ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ

นอกจากนี้บริษัทมีแผนเข้าประมูลงานโครงการภาครัฐเพิ่มขึ้น ต่อยอดจากการเป็นผู้รับเหมาช่วง (Subcontract) โดยมุ่งเน้นงานโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของประเทศ และงานเอกชนที่มีระยะเวลาการดำเนินงานสั้นเพื่อยอดรับรู้รายได้ต่อเนื่อง อีกทั้งบริษัทเข้ารับงานด้วยราคาต้นทุนการก่อสร้างที่สะท้อนตามจริงเพื่อเพิ่มความสามารถการทำกำไรให้กลับมาในระดับที่เหมาะสม โดยบริษัทมีสัดส่วนงานดังกล่าวจำนวนอยู่ที่ 90% ของงานทั้งหมด

ด้านงานต่างประเทศ บริษัทมุ่งเน้นเพิ่มสัดส่วนการเข้ารับงานต่างประเทศมากขึ้น 5-6% ซึ่งปัจจุบันบริษัทเข้ารับงานก่อสร้างงานโยธาสำหรับโครงสร้างถาวร โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำหลวงพระบาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) มูลค่า 1,615 ล้านบาท โดยบริษัท หลวงพระบาง พาวเวอร์ จำกัดเป็นเจ้าของโครงการ และ บริษัท ช.การช่าง (ลาว) จำกัด เป็นผู้ว่าจ้าง อีกทั้งบริษัทมีการติดตามสถานการณ์เพื่อเข้ารับงานต่างประเทศมากขึ้นโดยเฉพาะประเทศกลุ่ม CLMV

จากแผนการดำเนินงานดังกล่าว ส่งผลให้บริษัทมีมูลค่างานในมือ (Backlog) ทั้งหมดอยู่ที่ 1.14 หมื่นล้านบาท ถือเป็นสถิติใหม่สูงสุดตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัท โดยจะทยอยรับรู้รายได้ในปี 66-67

บริษัทวางงบลงทุนปี 66 จำนวน 300 ล้านบาท โดยจัดเตรียมซื้อเครื่องจักรเพื่อเป็นการเตรียมรองรับโครงการใหม่ที่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือเฉพาะด้าน รวมถึงการจัดซื้อเครื่องมือเครื่องใช้, ยานพาหนะ และอื่นๆในโครงการก่อสร้างอีกทั้ง และบริษัทมีแผนการพัฒนานวัตกรรมเพื่อลดมลพิษในเขตพื้นที่ก่อสร้าง โดยร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พัฒนาระบบยานยนต์ไฟฟ้าขนาดใหญ่เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้างโดยเฉพาะงานก่อสร้างอุโมงค์ เพื่อลดต้นทุนการใช้เชื้อเพลิงขนส่ง และ ช่วยลดมลพิษในเขตพื้นที่ก่อสร้างอย่างยั่งยืน คาดว่าจะสามารถนำมาใช้ในพื้นที่ก่อสร้างช่วงไตรมาส 3/66

“ภาพรวมอุตสาหกรรมก่อสร้างในปีนี้มีแนวโน้มที่ปรับตัวดีขึ้นจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยการลงทุนโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของภาครัฐเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก รวมไปถึงการลงทุนจากภาคเอกชนเพื่อรองรับการท่องเที่ยวที่เริ่มกลับมาภายหลังมาตรการล็อกดาวน์ที่มีความคลี่คลายในหลายพื้นที่ทั่วโลก อีกทั้งความต้องการย้ายฐานการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมจากต่างประเทศมายังประเทศไทย ส่งผลบวกกับทั้งอุตสาหกรรมและบริษัท โดยมั่นใจว่าในปีนี้จะสามารถสร้างผลการดำเนินงานที่ดีได้อย่างแน่นอน” นายชวลิต กล่าว

สำหรับสัดส่วนรายได้ของบริษัทแบ่งตามประเภทงาน ประกอบด้วย งานสร้างอุโมงค์ 55%, งานสร้างเขื่อนและระบบชลประทาน 13 %, งานก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำ 4%, งานท่อร้อยสายไฟฟ้าใต้ดิน 15 %, และ งานอื่นๆ 13 % อาทิ งานก่อสร้างถนน, งาน Slope Protection เป็นต้น โดยมีสัดส่วนรายได้ภายในประเทศ 96% และ ต่างประเทศ 4%

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (06 ก.พ. 66)

Tags: , ,
Back to Top