อนุสรณ์มองเฟดอาจชะลอขึ้นดอกเบี้ยไม่ซ้ำเติมปัญหา SVB ล้ม

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการและกรรมการตรวจสอบ ธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า การล้มละลายของธนาคาร Silicon Valley Bank (SVB) สร้างความวิตกกังวลต่อนักลงทุน สถาบันการเงินและกองทุนต่างๆ ธนาคารแห่งนี้เป็นผู้สนับสนุนทางการเงินรายใหญ่ให้กับบรรดาบริษัทไฮเทคสตาร์ทอัพ การล้มละลายของธนาคาร SVB สะท้อนปัญหาฟองสบู่ในธุรกิจไฮเทคสตาร์ทอัพและปัญหาการขาดทุนจำนวนมากจากการลงทุนในตลาดพันธบัตรของสถาบันการเงินในภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น มีการถือพันธบัตรระยะยาวจำนวนมาก ตราสารเหล่านี้มูลค่าลดลงอย่างมากอันเป็นผลจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเชิงรุกของเฟด

การบริหารความเสี่ยงล้มเหลวเมื่อตลาดการเงินโดยเฉพาะตลาดตราสารหนี้ผันผวนมากภายใต้ภาวะดอกเบี้ยสูงขึ้น และไม่สามารถมีสภาพคล่องมากพอให้กับผู้ฝากเงินและการปล่อยสินเชื่อ

ทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นยังคงดำเนินต่อไปเนื่องจากหลายประเทศอัตราเงินเฟ้อยังควบคุมไม่ได้อย่างสหรัฐอเมริกา ตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆยังขยายดีกว่าคาด อย่างไรก็ตาม การล้มละลายของธนาคาร SVB อาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯลังเลในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแรงๆ การล้มลงของธนาคาร SVBซึ่งไม่ใช่สถาบันการเงินขนาดใหญ่เหมือนปี 2008แต่ก็มีผลกระทบราคาหุ้นแบงก์ทั่วโลกและยังไม่น่าเกิดความเสี่ยงเชิงระบบรุนแรงขณะนี้สถานการณ์ไม่เหมือนวิกฤตการณ์การเงินโลกปี 2008

ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจทบทวนไม่ขึ้นดอกเบี้ยแรงซ้ำเติม และอาจขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.25-0.50% ในการประชุมวันที่ 21-22 มีนาคม ศกนี้ หากขึ้นอัตราดอกเบี้ยแรงไปจะกดดันตลาดหุ้น มูลค่าพันธบัตรและหลักทรัพย์ที่สถาบันการเงินถืออยู่มากเกินไป กระทบความเชื่อมั่นผู้ฝากเงิน กรณีการเกิดแห่ถอนเงินฝาก (Bank Run) ออกจากธนาคาร SVB จนกระทั่งแบงก์เกิดขาดสภาพคล่อง หากไม่มีการแก้ไขอย่างทันท่วงทีโดยการเข้าแทรกแซงของสถาบันประกันเงินฝากของทางการสหรัฐอเมริกา (Federal Deposit Insurance Corporation – FDIC)

ปัญหาอาจลุกลามจนเกิดความเสี่ยงต่อระบบการเงินทั้งระบบได้แม้นไม่รุนแรงเท่าปี ค.ศ. 2008 ก็ตามคาดกระทบการลงทุนในธุรกิจอุตสาหกรรมไฮเทคช่วงสั้น ธนาคารกลางสหรัฐฯอาจชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยลง

นายอนุสรณ์ กล่าวต่อว่า สถาบันการเงินของไทยนั้นมีความแข็งแกร่ง แต่สถาบันคุ้มครองเงินฝาก (Deposit Protection Agency – DPA)

ของไทยควรเตรียมความพร้อมและเข้าแทรกแซงทันทีหากเกิดกรณีแห่ถอนเงินฝากแบบสหรัฐฯ เพื่อหยุดปัญหาลุกลามต่อระบบการเงินโดยรวมได้ทันท่วงทีเช่นเดียวกับการดำเนินงานของสถาบันประกันเงินฝากของสหรัฐฯ (FDIC) ปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกในปีนี้ คือ
ผลกระทบจากดอกเบี้ยขาขึ้นและมาตรการเข้มงวดเพื่อคุมเงินเฟ้อของธนาคารกลางในหลายประเทศ

ขณะที่รัฐบาลของชาติต่างๆก็จำเป็นต้องออกมาตรการอุดหนุนราคาพลังงานเพื่อลดค่าครองชีพให้กับประชาชน เพิ่มภาระทางการคลังอย่างมากโดยเฉพาะประเทศที่มีปัญหาหนี้สาธารณะสูงอยู่แล้ว จากข้อมูลของ IMF ระบุ ปัจจุบัน 60% ของประเทศที่มีรายได้น้อยกำลังตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤตหนี้สาธารณะได้

ขณะที่ประเทศไทยมีความเสี่ยงในระดับปานกลางมีแนวโน้มความเสี่ยงเพิ่มสูงหากยังมีการใช้มาตรการประชานิยมโดยไม่ระมัดระวังเรื่องวินัยทางการเงินการคลัง และไม่ระบุแหล่งรายได้ให้ชัดเจนว่าจะนำรายได้ภาษีส่วนไหนหรือเกลี่ยงบตรงไหนมาสนับสนุนควรทยอยถอนมาตรการอุดหนุนราคาพลังงาน การแจกเงินเพื่อช่วยการบริโภคและการท่องเที่ยวโดยควรเพิ่มนโยบายหรือมาตรการกระตุ้นการลงทุนและการจ้างงาน

การไม่ทบทวนมาตรการอุดหนุนราคาพลังงานซึ่งทำให้เกิดปัญหาภาระทางการคลังและปัญหาประสิทธิภาพการใช้พลังงานมาตรการดังกล่าวยังไม่ส่งเสริมให้เกิดการปรับโครงสร้างไปสู่การใช้พลังงานหมุนเวียนหรือพลังงานทางเลือก กระตุ้นการลงทุนในภาคพลังงานหมุนเวียนและทางเลือกสะสมปัญหาสิ่งแวดล้อมและมลพิษทางอากาศต่อไป

นายอนุสรณ์ กล่าวต่อว่า ไทยไม่มีปัญหาเรื่องอาหารแพงเนื่องจากเป็นประเทศผลิตอาหารส่งออกแต่ค่าพลังงานยังแพงทำให้ต้นทุนการผลิตสูง หากเกิดวิกฤติการล้มละลายและขาดสภาพคล่องของสถาบันการเงินลุกลามในสหรัฐอเมริกา ปัญหาหนี้สาธารณะปะทุขึ้นในละตินอเมริกาหรือยุโรปบางประเทศ รวมทั้งเงินเฟ้อชะลอลงจากเศรษฐกิจโลกถดถอย

ทิศทางการบริหารนโยบายการเงินควรต้องปรับให้รับมือความท้าทายทางเศรษฐกิจเหล่านี้มองว่า แบงก์ชาติไม่จำเป็นต้องรีบปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในวันที่ 29 มีนาคม ศกนี้แล้ว เนื่องจากอัตราเงินฟ้อไทยปรับตัวลดลงต่อเนื่อง และอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจก็ต่ำกว่าประมาณการค่อนข้างมาก ส่งออกชะลอตัวแรง กำลังการผลิตส่วนเกินยังเหลืออยู่จำนวนมาก จึงไม่มีแรงกดดันเงินเฟ้อทางด้านอุปสงค์ในภาคการผลิต

แม้นการท่องเที่ยวฟื้นตัวอย่างชัดเจนก็ไม่ได้มีผลให้แรงกดดันเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม อัตราการขยายตัวของประเทศ Emerging and Developing Asia ที่สูงกว่าทุกภูมิภาคที่ระดับ 4.9-5.0%จะกระตุ้นให้เงินไหลเข้าภูมิภาคนี้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ค่าเงินสกุลเอเชียและเงินบาทอาจกลับมาแข็งค่าได้อีกและสถาบันการเงินในไทยและเอเชียตะวันออกยังคงมีฐานะการเงินแข็งแกร่งสามารถรองรับกรณีการล้มละลายข

องธนาคาร SVB ได้

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (12 มี.ค. 66)

Tags: , , ,
Back to Top