สธ.นำร่องใช้เทคโนโลยีดูแลสุขภาพผู้ที่ไม่มีเอกสารประจำตัวใน 5 จังหวัด

นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พร้อมด้วย นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ผู้อำนวยการจากสำนักงานความร่วมมือระหว่างประเทศ กองโรคติดต่อทั่วไป และสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง รวมทั้งเจ้าหน้าที่จากกองดิจิทัลเพื่อการควบคุมโรค หารือเตรียมการจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคลด้วยการสแกนม่านตาและการจดจำใบหน้าสำหรับผู้ไม่มีเอกสารประจำตัวที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ทั้งกลุ่มแรงงานข้ามชาติ กลุ่มชาติพันธุ์ ผู้ลี้ภัยที่ต้องได้รับบริการสุขภาพที่จำเป็น

“การพัฒนาระบบพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลของกลุ่มที่ไม่มีเอกสารประจำตัว โดยความร่วมมือกันระหว่างกรมควบคุมโรค สภากาชาดไทย NECTEC องค์การอนามัยโลก ประจำประเทศไทย และศูนย์ความร่วมมือไทย-สหรัฐ ด้านสาธารณสุข (TUC) จะเป็นการยกระดับระบบการยืนยันตัวบุคคลของกลุ่มดังกล่าวที่จะได้รับบริการสุขภาพที่จำเป็น ณ สถานบริการสาธารณสุขทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างในด้านการป้องกันและควบคุมโรคที่รวดเร็วและแม่นยำ” นพ.ธเรศ กล่าว

เนื่องจากช่วง 2 ปีเศษที่ผ่านมา ไทยได้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ทั่วประเทศ พบว่า กลุ่มที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มแรงงานข้ามชาติที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนและไม่มีเอกสารยืนยันตัวตน ทำให้ยากต่อการให้บริการและติดตามการฉีดวัคซีนโควิด-19 อีกทั้งยังพบปัญหาการออกเลขประจำตัวใหม่เพื่อระบุตัวตนที่อาจมีความซ้ำซ้อนเมื่อมีการย้ายสถานบริการสาธารณสุข ดังนั้นการใช้เทคโนโลยีจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล จะช่วยให้กระบวนการทำงานทั้งป้องกัน และควบคุมโรคของประเทศไทยมีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

เมื่อปี 2565 กรมควบคุมโรคได้ทดลองใช้การจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคลผ่านการสแกนม่านตา ร่วมกับสภากาชาดไทยและศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ในกลุ่มแรงงานข้ามชาติและกลุ่มผู้ลี้ภัยจากการสู้รบมากกว่า 60,000 คน โดยยึดหลักมนุษยธรรมเป็นสำคัญ พบว่า ผลการดำเนินงานประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี และเมื่อสอบถามแนวทางปฎิบัติในโรงพยาบาลนำร่อง พบว่าเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานส่วนใหญ่ในพื้นที่มีความพึงพอใจของการใช้งานในระบบที่สามารถลดปัญหาข้อมูลซ้ำซ้อนได้เป็นอย่างดี

โดยที่ประชุมได้ร่วมกำหนดพื้นที่นำร่องในการนำเทคโนโลยีพิสูจน์อัตลักษณ์เพื่อการดูแลสุขภาพที่จำเป็น เช่น การป้องกันควบคุมโรคติดต่อในพื้นที่ที่มีประชากรข้ามชาติอาศัยอยู่จำนวนมาก 5 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร สมุทรสาคร ประจวบคีรีขันธ์ ตาก และ ชลบุรี ซึ่งการดำเนินงานแล่งเป็น 2 ระยะ ดังนี้

  • ระยะที่ 1 เตรียมความพร้อมจะมีการจัดทำแนวทางปฏิบัติมาตรฐาน ส่งอุปกรณ์ จัดอบรมเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลในการเรียนรู้ขั้นตอนการจัดเก็บข้อมูล รวมถึงอบรมให้ความรู้แก่ อสม.และ อสต.
  • ระยะที่ 2 ลงพื้นที่จะเป็นการเก็บข้อมูล และประเมินผลการป้องกันควบคุมโรคในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ อาทิ บริการวัคซีนพื้นฐานในโรงพยาบาล เป็นต้น

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (13 เม.ย. 66)

Tags: , ,
Back to Top