JMART พุ่ง 9.14% ขานรับบอร์ดอนุมติซื้อหุ้นคืน เรียกความเชื่อมั่น

หุ้น JMART ราคาพุ่ง 9.14% มาอยู่ที่ 20.30 บาท เพิ่มขึ้น 1.70 บาท มูลค่าซื้อขาย 326.39 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.38 น. โดยเปิดตลาดที่ 19.20 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 20.50 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 19.00 บาท

บมจ.เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (JMART) แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เกี่ยวกับที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 27 เม.ย. 66 มีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืน (Treasury Stock) เพื่อบริหารทางการเงิน วงเงินโครงการซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 400 ล้านบาท จำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนไม่เกิน 16 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท หรือคิดเป็นจำนวนไม่เกิน 1.10% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด กำหนดระยะเวลาที่จะซื้อหุ้นคืนตั้งแต่วันที่ 15 พ.ค.-15 มิ.ย.66

โดยเหตุผลในการซื้อหุ้นคืนของ JMART 1. เพื่อเป็นการบริหารสภาพคล่องส่วนเกินของบริษัท ซึ่งงบประมาณในครั้งนี้เป็นเงินทุนที่คงเหลือภายหลังจากการบริหารจัดการ วางแผนทางการเงิน และกันเงินทุนสำรองต่างๆ 2. เพื่อเพิ่มอัตราผลตอบแทนให้แก่ส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) อัตรากำไรสุทธิ (EPS) และเพิ่มมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (Book Value Per Share) ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้น โดยที่เมื่อพิจารณาการนำจำนวนหุ้นบางส่วนที่บริษัทได้ทำการซื้อคืนมาหักลด จากจำนวนหุ้นที่ชำระแล้ว ประกอบกับการผลประกอบการในอนาคตของบริษัท จะสร้างเพิ่มผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทโดยรวม และ 3. เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ถือหุ้น โดยที่บริษัทได้นำความเห็นของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ (Consensus) ที่ได้ประเมินมูลค่าบริษัทได้ไว้ มาประกอบการพิจารณาแบบระมัดระวังที่สุด

ด้านผลกระทบภายหลังซื้อหุ้นคืนต่อผู้ถือหุ้น ซึ่งผู้ถือหุ้นจะได้รับเงินปันผลเพิ่มขึ้น เนื่องจากหุ้นที่บริษัทซื้อคืนกลับไปจะไม่มีสิทธิได้รับเงินปันผล รวมถึงอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity) และกำไรสุทธิต่อหุ้น (Earnings per Share) จะสูงขึ้น เนื่องจากจำนวนหุ้นที่จะนำมาคำนวณลดลง จึงทำให้ผลประโยชน์ที่ผู้ถือหุ้นแต่ละรายจะได้รับเพิ่มขึ้น

สำหรับผลกระทบต่อบริษัท ทำให้บริษัทจะมีสินทรัพย์สภาพคล่อง และมูลค่าทางบัญชีของส่วนของผู้ถือหุ้นลดลงเป็นจำนวนเท่ากับจำนวนเงินที่ใช้ในการซื้อหุ้นคืน อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงมีสภาพคล่องอย่างเพียงพอ และได้มีการจัดการบริหารเงินทุนไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว การซื้อหุ้นคืนในครั้งนี้จึงไม่ได้ส่งผลกระทบต่อแผนธุรกิจ การลงทุน และการดำเนินงานของบริษัท

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (28 เม.ย. 66)

Tags: , ,
Back to Top