บลูมเบิร์กชี้ “ก้าวไกล-เพื่อไทย” ตั้งรัฐบาลจ่อหนุนภาคค้าปลีก-ท่องเที่ยว

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า การที่กลุ่มพรรคฝ่ายค้านที่สนับสนุนประชาธิปไตยของไทยชนะการเลือกตั้งอย่างชัดเจนในวันอาทิตย์ที่ 14 พ.ค.ที่ผ่านมานั้น มีแนวโน้มที่จะยังประโยชน์ให้กับภาคค้าปลีก สินค้าอุปโภคบริโภค การผลิต และผู้ให้บริการการท่องเที่ยว เนื่องจากรัฐบาลชุดใหม่ของไทยมีแนวโน้มที่จะใช้นโยบายกระตุ้นอุปสงค์และฟื้นฟูเศรษฐกิจที่เปราะบางของไทย

ทั้งนี้ ผลการนับคะแนนเบื้องต้นจากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) บ่งชี้ว่า พรรคก้าวไกลซึ่งนำโดยนายนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคเพื่อไทยซึ่งนำโดยน.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็น 2 พรรคที่มีคะแนนนำเหนือพรรคอื่น ๆ โดยหากพรรคฝ่ายค้านทั้ง 2 พรรคนี้จับมือกันจัดตั้งรัฐบาลผสมสำเร็จ ก็มีแนวโน้มที่จะทำตามนโยบายหาเสียงที่ได้ให้สัญญาไว้กับประชาชน เช่น การแจกเงิน การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ รวมถึงการเพิ่มเบี้ยงเลี้ยงให้กับคนรับเงินบำนาญและผู้สูงอายุ

 

*ภาคการท่องเที่ยว

เนื่องด้วยพรรคการเมืองส่วนใหญ่มองว่าภาคการท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรมที่สามารถสร้างชัยชนะได้อย่างรวดเร็วในแง่ของการกระตุ้นการจ้างงานและรายได้ ดังนั้นจึงคาดการณ์ว่า รัฐบาลชุดใหม่จะให้ความสนใจต่อภาคการท่องเที่ยวเป็นพิเศษ โดยพรรคเพื่อไทยได้เสนอที่จะเริ่มดำเนินขั้นตอนในการเพิ่มรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติสู่ระดับ 3 ล้านล้านบาท (8.8 หมื่นล้านดอลลาร์) ภายในปี 2570 เนื่องจากพรรคเพื่อไทยต้องการวางยุทธศาสตร์ให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการขนส่งระดับภูมิภาค โดยตั้งเป้าที่จะเพิ่มศักยภาพสนามบินให้สามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้ 120 ล้านรายในเวลา 4 ปีและส่งเสริมข้อตกลงการเดินทางแบบฟรีวีซ่าระดับทวิภาคีเพิ่มมากขึ้น

สำนักข่าวบลูมเบิร์กระบุว่า บริษัทในภาคการท่องเที่ยวที่อาจจะได้รับประโยชน์จากผลการเลือกตั้งได้แก่ บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน), บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน), บริษัทเอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน), บริษัทนกแอร์ จำกัด (มหาชน), บริษัทไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน), บริษัทดุสิตธานี จำกัด (มหาชน), บริษัทเซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน), บริษัทแอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน), บริษัทโรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน), บริษัทดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) รวมถึงบริษัทในกลุ่มการท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องการการแพทย์และการมีสุขภาพที่ดี เช่น บริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) และบริษัทโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน)

 

*สินค้าอุปโภคบริโภค

กลุ่มผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค ตั้งแต่อาหารแช่แข็งไปจนถึงอาหารพร้อมปรุงและบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมีแนวโน้มที่จะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายผู้บริโภคให้สูงขึ้นหลังการเลือกตั้ง โดยบริษัทที่ได้รับการจับตามองในภาคส่วนนี้ได้แก่ บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน), บริษัทโอสถสภา จำกัด (มหาชน),บริษัทเบทาโกร จำกัด (มหาชน), บริษัทไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน), บริษัทคาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน), บริษัทไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน), บริษัทโออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และบริษัทไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน)

 

*อุตสาหกรรมค้าปลีก

นโยบายแจกเงินเพิ่มให้กับประชาชน ลดค่าไฟฟ้าและเชื้อเพลิงจะทำให้ชาวไทยมีเงินเพียงพอที่จะนำไปซื้อสินค้าได้อย่างคล่องมือ ตั้งแต่แชมพูไปจนถึงอาหารบรรจุกล่องและสมาร์ตโฟน โดยบริษัทที่จะได้ประโยชน์จากนโยบายดังกล่าวได้แก่ บริษัทเซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), บริษัทเบอร์ลี่ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน), บริษัทสยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน), บริษัทคอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) และบริษัทซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)

 

*ธุรกิจซีเมนต์และการตกแต่งบ้าน

การที่พรรคเพื่อไทยให้สัญญาว่าจะเพิ่มรายได้ภาคเกษตรเป็น 3 เท่าในเวลา 4 ปีมีแนวโน้มที่จะทำให้เกษตรกรเกือบ 8 ล้านครัวเรือนนำเงินมาใช้จ่ายเกี่ยวกับบ้านและสร้างบ้านใหม่เพิ่มมากขึ้น โดยกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากเรื่องดังกล่าวได้แก่ บริษัทสยามซีเมนต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน), บริษทโฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน), บริษัทดูโฮม จำกัด (มหาชน), บริษัทอินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทสยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน)

 

*กัญชา

อุตสาหกรรมกัญชาอาจเผชิญความไม่แน่นอนในอนาคต หลังจากไทยกลายเป็นประเทศแรกในเอเชียที่อนุญาตให้กัญชาเป็นสิ่งถูกกฎหมาย โดยทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลต่างก็คัดค้านการใช้กัญชาเสรี โดยต้องการให้มีการจัดกัญชาเป็นสารเสพติดอีกครั้ง และใช้งานในทางการแพทย์เท่านั้น กรณีดังกล่าวอาจส่งผลเสียต่อเจ้าของร้านขายยากว่า 4,500 รายและเกษตรกรปลูกกัญชาอีกหลายล้านราย โดยบริษัทที่เสี่ยงได้รับผลกระทบจากประเด็นดังกล่าวได้แก่ บริษัทอิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน), บริษัทเจริญโภคภัณฑ์, บริษัทโออิชิ และบริษัทธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

 

*ผู้ค้าปลีกเชื้อเพลิง

รัฐบาลไทยอุดหนุนน้ำมันดีเซลและก๊าซหุงต้มมาเป็นเวลายาวนาน เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ แต่รัฐบาลชุดใหม่มีแนวโน้มที่จะพิจารณาลดภาษีสรรพสามิตต่อน้ำมันดีเซลและเล็งเป้าอุดหนุนเงินสำหรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ซึ่งอาจจะกระทบต่อกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันและผู้ค้าปลีกน้ำมัน เช่น บริษัทปตท. จำกัด (มหาชน), บริษัทปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน), บริษัทปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน), บริษัทสตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) และบริษัทบางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)

 

*ผู้ผลิตพลังงาน

พรรคการเมืองส่วนใหญ่ของไทยให้สัญญาว่าจะลดค่าธรรมเนียมไฟฟ้า เพื่อเรียกคะแนนเสียง ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์เรื่องค่าไฟแพงในช่วงฤดูร้อน โดยหากรัฐบาลชุดใหม่นำโดยพรรคเพื่อไทย ก็มีแนวโน้มที่จะลดภาษีพลังงานสำหรับลูกค้ารายย่อยลงและปรับเปลี่ยนวิธีการจัดซื้อพลังงานในปัจจุบัน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบริษัทต่าง ๆ เช่น บริษัทกัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน), บริษัทราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน), บริษัทบี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน)

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (15 พ.ค. 66)

Tags: , , ,
Back to Top