NEX ส่ง “เทอร์ราไบท์ พลัส” ยื่นไฟลิ่งขาย IPO 90 ล้านหุ้น-เข้า mai ใช้ขยายลงทุน

บมจ.เทอร์ราไบท์ พลัส (TERA) ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 90 ล้านหุ้น คิดเป็น 37.50% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายแล้วทั้งหมดของบริษัทภายหลัง IPO มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยมี บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

บริษัทจะเสนอขายหุ้น IPO ต่อผู้ถือหุ้นของ บมจ.เน็กซ์ พอยท์ (NEX) ที่มีสิทธิจองซื้อหุ้นตามสัดส่วนการถือหุ้น (Pre-emptive Rights) ไม่เกิน 45,900,000 หุ้น ส่วนที่เหลือจะเสนอขายต่อผู้มีอุปการคุณของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ , เสนอขายต่อผู้มีอุปการคุณของบริษัทหรือบริษัทย่อย และ เสนอขายต่อกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัท หรือบริษัทย่อย รวมถึงผู้มีความสัมพันธ์

วัตถุประสงค์การใช้เงินจากการระดมทุน เพื่อลงทุนในระบบ Cloud, ลงทุนในระบบ ERP, ลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องที่มีศักยภาพ เพื่อรองรับการเติบโตของบริษัท และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนภายในกิจการ ระยะเวลาการใช้เงินในช่วงปี 67-68

TERA ชื่อเดิมคือ บริษัท เทอร์ราไบท์ เน็ท โซลูชั่น จำกัด มีวัตถุประสงค์เริ่มต้นในการประกอบธุรกิจเป็นผู้จัดจำหน่ายอุปกรณ์เครือข่ายไอทีและให้บริการด้านระบบโครงสร้างพื้นฐานทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Information and Communication Technology: “ICT”) ขนาดใหญ่แบบครบวงจร เช่น ระบบเซิร์ฟเวอร์ (Server) ระบบจัดเก็บข้อมูล (Storage) ระบบเครือข่าย (Network) ระบบรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security) เป็นต้น

ในปี 48 (ปีแรกของการก่อตั้งบริษัท) ได้รับการแต่งตั้งเป็น HP Premier Enterprise Business Partner จากบริษัท ฮิวเลตต์-แพคการ์ด (ประเทศไทย) จำกัด (HP) และในปี 55 ได้รับการเลื่อนขั้นพันธมิตรแต่งตั้งเป็น “HP ESSN Platinum Partner” ซึ่งเป็นพันธมิตรในระดับสูงสุดของ HP จากนั้นภายหลังเมื่อ HP แยกธุรกิจของกลุ่มและเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท ฮิวเลตต์-แพคการ์ด เอ็นเตอร์ไพรส์ (ประเทศไทย) จำกัด (HPE) บริษัทก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นพันธมิตรในระดับสูงสุดของ HPE ได้แก่ “HPE HIT Platinum Partner” ต่อมาบริษัทได้รับการแต่งตั้งเป็นพันธมิตรกับบริษัทเจ้าของผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีสารสนเทศที่มีชื่อเสียงระดับโลกรายอื่นๆ เพิ่มเติมมาอย่างต่อเนื่องจบปัจจุบัน

ในปี 59 บริษัทเริ่มจัดจำหน่ายและให้บริการ Local Cloud ภายใต้ตราสินค้าของบริษัท “T.Cloud” และได้ขยายธุรกิจไปยังการให้บริการ Public Cloud อาทิ Microsoft Azure จากบริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด (Microsoft) และ AWS จากบริษัท อะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด (AWS)

จากนั้นในปี 61 NEX (ชื่อเดิม บมจ.ซิงเกิ้ล พอยท์ พาร์ท (ประเทศไทย) (SPPT)) ต้องการขยายธุรกิจในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ทำให้ NEX ตัดสินใจเข้าซื้อหุ้นสามัญของ TERA จากผู้ถือหุ้นเดิมในสัดส่วน 51% ทำให้บริษัทมีสถานะเป็นบริษัทย่อยของ NEX

นับตั้งแต่ปี 63 เป็นต้นมา จากการที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในการดำเนินชีวิต ไลฟ์สไตล์ และการประกอบธุรกิจมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นนโยบายการทำงานจากที่บ้าน (Work from Home / Work from Anywhere) และสังคมไร้เงินสด (Cashless Society) ทำให้สินค้าในกลุ่ม Cloud เป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ โดย T.Cloud เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ Local Cloud ที่มียอดขายเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และได้รับการยอมรับจากลูกค้าทั้งในด้านคุณภาพและการให้บริการ

ปัจจุบัน บริษัทมีบริษัทย่อย 2 บริษัท ประกอบด้วย 1) บริษัท คลัสเตอร์ ซิสเท็มส์ จำกัด (CTS) และ 2) บริษัท สกายฟร็อก จำกัด (SKF)

ณ วันที่ 31 มี.ค.66 บริษัทมีโครงสร้างการถือหุ้น คือ NEX ถือหุ้นในสัดส่วน 51.00% ภายหลัง IPO จะลดสัดส่วนเหลือ 31.88% ส่วนผู้ก่อตั้ง คือ นายสุรสิทธิ์ คิวประสพศักดิ์ ถือหุ้น 13.78% จะลดสัดส่วนเหลือ 8.61% นายจิราวัฒน์ จารุฐิติพันธุ์ 12.58% จะลดเหลือ 7.86% นายบุญชัย ตั้งวัฒนาพรชัย 6.73% จะลดเหลือ 4.21% นายดำรง จิรเสาวภาคย์ 4.31% จะลดเหลือ 2.69% นายศุทธิสันติ สุทัศน์ ณ อยุธยา 3.75% จะลดเหลือ 2.34%

ผลประกอบการในช่วงปี 63-65 บริษัทมีรายได้จากการขายและบริการ 315.73 ล้านบาท 390.55 ล้านบาท และ 555.29 ล้นบาท ตามลำดับ และมีกำไรสุทธิ 9.74 ล้านบาท 18.71 ล้านบาท และ 25.79 ล้านบาท ตามลำดับ อัตรากำไรสุทธิ 3.05% 4.73% และ 4.61% ตามลำดับ อัตราการจ่ายเงินปันผล 132.64% 80.66% และ 85.03% ตามลำดับ

ส่วนงวดไตรมาส 1/66 มีรายได้จากการขายและบริการ 144.32 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 23 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 40.42% จากการเพิ่มขึ้นของงานขายและติดตั้งอุปกรณ์เครือข่ายไอที ตามความต้องการใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่ยังคงเพิ่มมากขึ้นในโลกยุคดิจิตัล และมีกำไรสุทธิ 29.35 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 3.06%

ณ วันที่ 31 มี.ค.66 บริษัทมีสินทรัพย์ 343.63 ล้านบาท หนี้สินรวม 236.33 ล้านบาท และส่วนผู้ถือหุ้น 107.30 ล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิ (งบการเงินเฉพาะบริษัท) หลังหักเงินสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่กฎหมายกำหนดและตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (26 พ.ค. 66)

Tags: , , , , ,
Back to Top