HILITE: JMT บวกนำกลุ่มเจมาร์ท 8.86% รับข่าวปิดดีลประมูลหนี้ไม่มีหลักประกัน 6 หมื่นลบ.

JMT ราคาหุ้นบวกนำกลุ่มเจมาร์ท 8.86% หรือเพิ่มขึ้น 3.50 บาท มาที่ 43.00 บาท มูลค่าซื้อขาย 482.23 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.07 น. จากราคาเปิด 41.75 บาท ราคาสูงสุด 44.00 บาท ราคาต่ำสุด 41.50 บาท

บล.ทรีนี้ตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า จากรายงานข่าว JMT ปิดดีลประมูลหนี้ไม่มีหลักประกันก้อนใหญ่ 6 หมื่นล้านบาท ทำให้มูลหนี้ที่อยู่ภายใต้การบริหารรวม JK AMC อยู่ที่กว่า 4.4 แสนล้านบาท โดยผู้บริหารเปิดเผยว่า ปีนี้ถือเป็นปีที่ดีที่สุดของบริษัทในการซื้อหนี้ ซึ่งเป็นโอกาสของ JMT ที่จะมีหนี้ด้อยคุณภาพเพื่อสร้างกระแสเงินสดที่ดีให้กับบริษัทต่อไปในอนาคต ขณะที่ยังอยู่ระหว่างการยื่นประมูลซื้อหนี้เพิ่มเติมอีก โดยในปีนี้มุ่งเน้นหนี้ด้อยคุณภาพที่ไม่มีหลักประกัน (Unsecured Loan) ตั้งเป้างบลงทุนซื้อหนี้ปี 66 ที่ 10,000-15,000 ล้านบาท ซึ่งจะหนุนให้ภาพกำไรรวมเติบโตมากกว่า 30%YoY

มองเป็นปัจจัยบวก เชื่อว่ากำไรจะเติบโตถึงเป้าได้ไม่ยาก

การซื้อหนี้ดังกล่าวถือเป็นการซื้อหนี้ครั้งใหญ่ที่สุดของ JMT จากการสอบถามผู้บริหาร เกือบทั้งหมดเป็นหนี้ไม่มีหลักประกันที่ประมูลเข้ามาภายใต้ JMT (ไม่ได้มาจาก JK AMC) แม้ว่าผู้บริหารจะยังไม่เปิดเผยต้นทุนที่ใช้ในการประมูล แต่เราคาดว่าจะอยู่ที่ราว 5-6 พันล้านบาท ทำให้ภาพรวมครึ่งปีแรก บริษัทใช้เงินลงทุนไปแล้วราว 6-7 พันล้านบาท เกือบถึงครึ่งของเป้างบลงทุนซื้อหนี้ในส่วน Upper Bound ทั้งปีที่บริษัทตั้งไว้ที่ 15,000 ล้านบาทแล้ว ซึ่งปกติแล้วการขายหนี้จากสถาบันการเงินในครึ่งปีหลังมักจะสูงกว่าครึ่งปีแรกมาก ทำให้ภาพรวมทั้งปีบริษัทอาจซื้อหนี้ได้สูงกว่าเป้าที่วางไว้ได้ ขณะที่กระแสเงินสดและการรับรู้รายได้จากหนี้ที่ลงทุนในไตรมาส 1/66 ถึงไตรมาส 2/66 จะช่วยหนุนกำไรในครึ่งปีหลังนี้ เมื่อรวมกับโอกาสในการเติบโตของ JK AMC ที่คาดว่าจะมีการรับโอนหนี้มาจาก KBANK เพิ่มเติม จึงคาดว่ากำไรทั้งปีจะเติบโตถึงเป้าที่เราคาดไว้ที่ 31% YoY ได้ไม่ยาก

ยังคงราคาเป้าหมายปี 66 ที่ 66 บาท อิง PBV 3.9 เท่า โดยราคาหุ้นที่อ่อนตัวลงมามาก ทำให้ Upside ค่อนข้างสูง เราจึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ”

ด้านบล.กรุงศรี พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ว่า มอง Positive ต่อการซื้อหนี้ก้อนใหญ่มูลค่า 6 หมื่นล้านบาท นับเป็นการซื้อหนี้ก้อนใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท เทียบในอดีตที่เคยซื้อ มูลหนี้มากสุดระดับปีละ 3.3 หมื่นล้านบาท และเทียบกับไตรมาส 1/66 ที่ซื้อมูลหนี้ 1 หมื่นล้านบาท บริษัทไม่ได้เปิดเผยเงินลงทุนที่ใช้ซื้อหนี้ แต่หากอิงสมมติฐานเงินลงทุนที่ 10-15% ของมูลหนี้ (unsecured) คาดว่าเงินลงทุนจะอยู่ที่ 6-9 พัน ล้านบาท ซึ่งหากรวมกับไตรมาส 1/66 ที่ซื้อไปแล้ว 1.4 พันล้านบาท ทำให้มีโอกาสทะลุเป้าลงทุนของบริษัทปีนี้ที่ 1-1.5 หมื่นล้านบาท

มูลหนี้บริษัท (รวม JK AMC) เติบโตแบบก้าวกระโดดในช่วงที่ผ่านมา จากไตรมาส 4/66 ที่ 3.3 แสนล้านบาท เป็น 3.8 แสนล้านบาท ในไตรมาส 1/66 และปัจจุบันที่ 4.4 แสนล้านบาท คาดหนุนรายได้และ cash collection ในครึ่งปีหลังนี้เติบโตโดดเด่น (ใช้เวลา 1-2 ไตรมาสก่อนเริ่มเก็บเงินจากหนี้ก้อนใหม่ได้)

เบื้องต้นคาดกำไรไตรมาส 2/66 เพิ่มขึ้น y-y, q-q ตาม cash collection ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงส่วนแบ่งกำไรจาก JK AMC ที่คาดว่ายังดีต่อเนื่อง โดยเราประเมินกำไรทั้งปี 66 +22%y-y เป็น 2,135 ล้านบาท ตาม cash collection ที่ดีขึ้นตามสภาวะเศรษฐกิจ รวมถึงการลงทุนแบบ aggressive ของ JMT ในปี 66 ที่วางเป้าการลงทุนซื้อหนี้ 1-1.5 หมื่น ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันทำได้เกินครึ่งแล้ว และเป็น upside risk ต่อประมาณการเราที่ 7 พันล้านบาท

เราคงคำแนะนำ Buy ที่ TP23F 56.00 บาท คิดเป็น implied PER23F ที่ 38 เท่า เทียบเท่าระดับปี 63-64 ซึ่งเป็นช่วง EPS growth อยู่ในระดับต่ำจาก dilution โดยราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายบน PER23F ที่ 27 เท่า (-0.5 S.D.จากค่าเฉลี่ย 5 ปี) และ PBV เพียง 2.5 เท่า (-1.5 S.D. จากค่าเฉลี่ย 5 ปี)

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (09 มิ.ย. 66)

Tags: , ,
Back to Top