“แพทย์รังสิตฯ” เคาะขาย IPO ที่ 21 บาท P/E 26.58 เท่า เปิดจอง 28-30 มิ.ย.คาดเทรด 6 ก.ค.

บมจ. แพทย์รังสิตเฮลท์แคร์กรุ๊ป (PHG) กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 54,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท ราคาเสนอขายหุ้นละ 21 บาท ระยะเวลาจองซื้อวันที่ 28-30 มิ.ย.66 คาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ (SET) กลุ่มบริการ (SERVICE) / การแพทย์ (HELTH) ราววันที่ 6 ก.ค.66 โดยมี บริษัท ไพโอเนีย แอดไวเซอรี่ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

การกำหนดราคาหุ้น IPO ในครั้งนี้กระทำโดยการประเมินมูลค่าหลักทรัพย์ของบริษัทด้วยวิธีอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (Price to Earnings Ratio : P/E) โดยราคาที่ 21.00 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิเท่ากับ 26.58 เท่า โดยคำนวณกำไรสุทธิต่อหุ้นจากผลการดำเนินงานในช่วง 4 ไตรมาสล่าสุด ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.65-31 มี.ค.66 ซึ่งมีกำไรสุทธิรวมเท่ากับ 238.24 ล้านบาท และคำนวณจากจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วภายหลังเสนอขายต่อประชาชนในครั้งนี้จำนวน 300,000,000 หุ้น (Fully diluted) จะได้กำไรสุทธิต่อหุ้นประมาณ 0.79 บาทต่อหุ้น

บริษัทแต่งตั้งผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย คือ บล.กรุงศรี และ บล.คิงส์ฟอร์ด ส่วนผู้จัดจำหน่ายร่วม ได้แก่ บล.ดาโอ (ประเทศไทย) บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) และ บล. ซีจีเอส ซีไอเอ็มบี

บริษัทฯ มีวัตถุประสงค์ในการนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหลักทรัพย์ครั้งนี้ราว 1,134.00 ล้านบาทไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ ดังต่อไปนี้

1. เพื่อเป็นเงินทุนในโครงการก่อสร้างอาคารจอดรถ 100 ล้านบาท ภายในปี 67

2. เพื่อเป็นเงินทุนในโครงการก่อสร้างอาคารผู้ป่วยใหม่ที่ 1 ราว 200 ล้านบาทภายในปี 67

3. เพื่อเป็นเงินทุนในโครงการก่อสร้างอาคารผู้ป่วยใหม่ที่ 2 ราว 300 ภายในปี 69

4. เพื่อเป็นเงินทุนในการซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ 250 ล้านบาทภายในปี 67

5. เพื่อชำระคืนเงินกู้ยืมแก่สถาบันการเงินบางส่วน 150 ล้านบาทภายในปี 66

6. เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ 134 ล้านบาทภายในปี 66

นายรณชิต แย้มสอาด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PHG เปิดเผยว่า ผลประกอบการในปี 66 เชื่อว่ารายได้จะมีอัตราเติบโตใกล้เคียงกับในอดีตที่เติบโตเฉลี่ยราว 10% ต่อปี แต่หลังจากที่บริษัทขยายธุรกิจได้ครบตามแผนที่วางไว้จะทำให้บริษัทมีอัตราเติบโตสูงขึ้นมาก เนื่องจากบริษัทมีพื้นที่ให้บริการที่รองรับคนไข้ได้เพิ่มมากขึ้น

ตามแผนของบริษัทหลังได้เงินจากการเสนอขาย IPO จะใช้ขยายพื้นที่โรงพยาบาลบนที่ดินเดิม เพื่อทำให้เกิดการประหยัดต่อขนาด (Economy of Scale) ในการดำเนินธุรกิจ ประกอบกับการแชร์ทรัพยากรและบุคลากรร่วมกัน ส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไรในอนาคตจะดีขึ้นกว่าปัจจุบันด้วย

นายเผดิมภพ สงเคราะห์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บล.กรุงศรี ในฐานะผู้รับประกันการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม กล่าวว่า ในช่วงที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนหุ้น ถือเป็นจังหวะที่ดีของหุ้นในกลุ่มการแพทย์ที่นักลงทุนสามารถเข้าลงทุนได้ แม้ว่าหุ้นกลุ่มการแพทย์หรือโรงพยาบาลจะมีการเติบโตแบบไม่ได้มีอะไรพิเศษหรือเติบโตมากกว่ากลุ่มอื่นๆ แต่เป็นการเติบโตอย่างสม่ำเสมอ เป็นหุ้นที่สามารถสะสมเข้าในพอร์ตเพื่อกระจายความเสี่ยงและลดความผันผวนได้

แม้ว่า PHG จะยังเป็นโรงพยาบาลที่มีขนาดเล็ก แต่ด้วยศักยภาพของผู้บริหารและทีมงาน รวมถึงการตั้งอยู่ในทำเลที่ศักยภาพ ทำให้ยังมีโอกาสอีกมากในการสร้างการเติบโต และหากเทียบกับโรงพยาบาลขนาดใหญ่แล้ว โรงพยาบาลขนาดเล็กยังมีโอกาสเติบโตต่อไปได้มากกว่า

“ภาวะตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันที่เผชิญความผันผวนค่อนข้างมา ทำให้มีแรงกดดันต่อตลาดหุ้นไทยเข้ามา รวมถึงภาวะเศรษฐกิจที่มีความผันผวน แต่หุ้นในกลุ่มการแพทย์ถือเป็นหุ้น Defensive stock ที่ช่วยให้พอร์ตของนักลงทุนไม่เกิดความผันผวนในทางลง และช่วงนี้ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการมองหาจังหวะลงทุนหุ้นกลุ่มการแพทย์”

นายเผดิมภพ กล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (27 มิ.ย. 66)

Tags: , , , ,
Back to Top