ทำความรู้จักแผนปฏิบัติการด้านเกษตรรองรับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศฉบับใหม่ ก่อนประกาศใช้ปลายปีนี้

นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงแผนปฏิบัติการด้านการเกษตรเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ.2566-2570 ว่า จากการที่ยุทธศาสตร์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศด้านการเกษตร พ.ศ.2560-2565 ได้สิ้นสุดลง ประกอบกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศได้ทวีความรุนแรงมากขึ้น

กระทรวงเกษตรฯ ตระหนักถึงความสำคัญ จึงได้มอบหมายให้ คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนนโยบายการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศด้านการเกษตร โดยมีนายพีรพันธ์ คอทอง รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานอนุกรรมการ ดำเนินการจัดทำแผนปฏิบัติการฯ ฉบับใหม่ขึ้น

สศก. ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะอนุกรรมการ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ เอกชน ร่วมกันยกร่างแผนปฏิบัติการด้านการเกษตรเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ.2566-2570 โดยการสนับสนุนของโครงการ Support Programme on Scaling up Climate Ambition on Land Use and Agriculture through NDCs and NAPs ซึ่งแผนปฏิบัติการฯ มีวิสัยทัศน์ “ภาคเกษตรไทยมีสมรรถนะและภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ บนพื้นฐานของสารสนเทศและสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย” ประกอบด้วยประเด็นการพัฒนา 5 แนวทาง ได้แก่

– แนวทางที่ 1 ยกระดับขีดความสามารถในการปรับตัวของเกษตรกร และภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ตลอดห่วงโซ่อุปทานสินค้าเกษตร

– แนวทางที่ 2 มีส่วนร่วมในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตลอดห่วงโซ่อุปทานสินค้าเกษตร เพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระยะยาว

– แนวทางที่ 3 พัฒนาฐานข้อมูล องค์ความรู้ และสนับสนุนการสร้างความตระหนักรู้ ถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความสำคัญในการปรับตัวและการมีส่วนร่วมในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

– แนวทางที่ 4 พัฒนาศักยภาพกำลังคนในภาคเกษตร และส่งเสริมความร่วมมือของภาคีเครือข่าย เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในทุกภาคส่วนและทุกระดับ

– แนวทางที่ 5 ผลักดันและขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

 

ด้าน น.ส.กาญจนา ขวัญเมือง รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กล่าวถึงแนวทางการพัฒนาทั้ง 5 ด้านว่า ได้กำหนดกิจกรรมให้ครอบคลุม อาทิ

– แนวทางที่ 1 ยกระดับการปรับตัวด้วยเกษตรเท่าทันภูมิอากาศ เช่น การปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้ง การทำประกันภัยผลผลิต การทำเกษตรผสมผสาน เพิ่มการยอมรับและปรับใช้เทคโนโลยีตลอดห่วงโซ่อุปทานของสินค้าเกษตร เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน ความเพียงพอและการเข้าถึงแหล่งน้ำ และระบบนิเวศ

– แนวทางที่ 2 สนับสนุนการผลิตสินค้าเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและคาร์บอนต่ำที่สอดคล้องกับ NDC และ Long-term Strategies (LTS) สนับสนุนด้านการตลาดสินค้าเกษตรคาร์บอนต่ำ

– แนวทางที่ 3 พัฒนาระบบการบริหารจัดการทรัพยากร และความเสี่ยงให้มีประสิทธิภาพ เพิ่มองค์ความรู้และงานวิจัย พัฒนาฐานข้อมูล และถ่ายทอดองค์ความรู้

– แนวทางที่ 4 สร้างความตระหนักรู้ต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เสริมสร้างสมรรถนะของบุคลากรที่สอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ การ Upskill และ Reskill เกษตรกรให้มีความรู้ และได้ทดลองฝึกปฏิบัติจริง เกี่ยวกับวิธีการปรับตัวที่เหมาะสม รวมทั้งพัฒนาและจัดหานักวิจัยรุ่นใหม่

– แนวทางที่ 5 ยกระดับการบูรณาการกับหน่วยงานทั้งในและนอกสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เช่น พัฒนาหลักสูตรด้าน Climate Change ที่ทันสมัยมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งสินเชื่อ และการสนับสนุนทางด้านการเงิน ส่งเสริมและสนับสนุนการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในภาคเกษตร ส่งเสริมให้หน่วยงานระดับกรมในกระทรวงเกษตรฯ จัดทำแผนรองรับ Climate change ของตนเอง

ตลอดจจนปรับปรุงและพัฒนากฎระเบียบ กฎหมาย แรงจูงใจ และสิ่งแวดล้อม เพื่อปรับพฤติกรรม เช่น จัดตั้งศูนย์เรียนรู้ในระดับภูมิภาค หรือจังหวัด ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร การนำมาตรการทางเศรษฐศาสตร์และการเงินมาใช้ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานด้านการปรับตัวและลดการปล่อย GHG ในภาคเกษตร เป็นต้น

หลังจากนี้ สศก. จะนำ (ร่าง) แผนปฏิบัติการฯ เสนอต่อคณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งมีรมว.เกษตรและสหกรณ์ เป็นประธาน เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ภายในปีงบประมาณ 2566 ก่อนเสนอคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ ซึ่งปัจจุบัน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เพื่อรับทราบ จากนั้นจะประกาศใช้ภายในปี 66

อย่างไรก็ดี แผนปฏิบัติการฯ ฉบับนี้ มีความสำคัญต่อการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของภาคเกษตร เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่มีการกำหนดเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อสนับสนุนเป้าหมาย NDCs ของประเทศ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้ประกาศเจตนารมณ์ระหว่างการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 (COP26) ว่าประเทศไทยจะยกระดับเป้าหมาย NDCs จากเดิม 20-25% เป็น 30-40% ในปี ค.ศ.2030

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 ส.ค. 66)

Tags: , , , ,
Back to Top