UBS โชว์กำไรสุทธิ 2.9 หมื่นล้านดอลล์ใน Q2/66 หลังเทกโอเวอร์เครดิต สวิส

ยูบีเอส ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่สุดของสวิตเซอร์แลนด์เปิดเผยผลประกอบการรายไตรมาสเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เสร็จสิ้นการเทกโอเวอร์กิจการธนาคารเครดิต สวิส

ยูบีเอสเปิดเผยในวันนี้ (31 ส.ค.) ว่า ธนาคารมีกำไรสุทธิในไตรมาส 2/2566 อยู่ที่ 2.888 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์ในโพลสำรวจของสำนักข่าวรอยเตอร์คาดการณ์ว่าอาจอยู่ที่ 1.28 หมื่นล้านดอลลาร์

ทั้งนี้ ยูบีเอสระบุว่า ผลประกอบการดังกล่าวซึ่งเป็นตัวเลขประมาณการเบื้องต้นนั้น สะท้อนให้ถึงค่าความนิยมติดลบ (Negative Goodwill) จำนวน 2.893 หมื่นล้านดอลลาร์ อันเนื่องมาจากการเข้าซื้อกิจการเครดิต สวิส

ส่วนกำไรก่อนหักภาษี ซึ่งไม่นับรวมค่าความนิยมติดลบ, ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการควบรวมกิจการและต้นทุนการเข้าซื้อกิจการนั้น อยู่ที่ 1.1 พันล้านดอลลาร์

ทั้งนี้ ค่าความนิยมติดลบสะท้อนถึงมูลค่ายุติธรรม (Fair Value) ของสินทรัพย์ที่ซื้อตามข้อตกลงควบรวมกิจการ และมีมูลค่าสูงกว่าราคาซื้อ โดยยูบีเอสได้จ่ายเงินจำนวน 3 พันล้านฟรังก์สวิส (3.4 พันล้านดอลลาร์) เพื่อเข้าซื้อกิจการเครดิต สวิสในเดือนมี.ค.

เมื่อวันที่ 20 มี.ค.ที่ผ่านมา ยูบีเอสได้ตกลงเข้าซื้อกิจการธนาคารเครดิต สวิส ในวงเงิน 3 พันล้านฟรังก์สวิส โดยการซื้อกิจการดังกล่าวเกิดขึ้นภายใต้การดำเนินงานร่วมกันระหว่างธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์, รัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์ และหน่วยงานกำกับดูแลตลาดการเงินของสวิตเซอร์แลนด์

อย่างไรก็ดี การเทกโอเวอร์กิจการของเครดิต สวิสเผชิญกับปัญหามากมาย เนื่องจากรัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์ได้ตัดมูลค่าของตราสารทางการเงินที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 (Additional Tier 1) หรือ AT1 ลงเหลือศูนย์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงการเทกโอเวอร์กิจการโดยธนาคารยูบีเอส และสร้างความไม่พอใจให้กับบรรดานักลงทุนในสหรัฐ จนถึงขั้นมีการยื่นฟ้องดำเนินคดีกับรัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์

ภายใต้ข้อตกลงการเทกโอเวอร์กิจการนั้น ตราสาร AT1 ของเครดิต สวิสซึ่งระบุมูลค่าหน้าตั๋วไว้ที่ 1.6 หมื่นล้านฟรังก์สวิส (1.735 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) จะถูกตัดมูลค่าลงเหลือศูนย์ นอกจากนี้ ข้อตกลงยังกำหนดว่า ผู้ถือ AT1 ของเครดิต สวิส จะไม่มีสิทธิในการรับเงินชดเชย แต่ผู้ถือหุ้นสามัญกลับได้รับเงินชดเชย 3.23 พันล้านดอลลาร์ แม้ว่าผู้ถือหุ้นสามัญมักมีอันดับเป็นรองผู้ถือตราสารหนี้ในการได้รับเงินชดเชยในกรณีธนาคารล้มละลาย

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (31 ส.ค. 66)

Tags: , , , ,
Back to Top