BAFS คงเป้าปริมาณเติมน้ำมันปีนี้ หวังนทท.จีนฟื้น-เปิดใช้ SAT-1 หนุนดีมานด์

ม.ล.ณัฐสิทธิ์ ดิศกุล กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ (BAFS) เปิดเผยว่า บริษัทยังคงเป้าหมายปริมาณการเติมน้ำมันอากาศยานในปีนี้ที่ 4,200 ล้านลิตร เพิ่มขึ้น 40% จากปีก่อน 2,990 ล้านลิตร แม้ว่าหลายสำนักวิจัยคาดว่านักท่องเที่ยวจีนอาจจะยังไม่กลับมาเต็มที่เพราะเศรษฐกิจจีนยังไม่ฟื้นตัว แต่บริษัทเชื่อมั่นว่าช่วงปลายปีเที่ยวบินจะมีจำนวนมากขึ้น ทำให้ปริมาณเติมน้ำมันทำได้ตามเป้าหมาย ทั้งนี้ ปริมาณการเติมน้ำมันอากาศยานในเดือนก.ค. 66 ที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นมาที่ระดับ 77%ของระดับก่อนโควิด-19 จากปีก่อนอยู่ที่ระดับ 38%

โดยตลาดใหญ่ของบริษัท ได้แก่ เอเชียตะวันออกและแปซิฟิก (จีน ญี่ปุ่น เกาหลี) ในช่วง 6 เดือนแรกปี 66 มีปริมาณเติมน้ำมัน 541 ล้านลิตร การกลับมายังน้อยอยู่มีเพียง 53% ขณะที่ตลาดในประเทศกลับมา 93%

ปัจจุบัน มีจำนวนนักท่องเที่ยวจีน คิดเป็น 40% ก่อนโควิด ยังไม่กลับมาเต็มร้อย แต่คาดหวังรัฐบาลใหม่มีนโยบายยกเลิกเก็บค่าธรรมเนียมวีซ่ากับตลาดสำคัญ ได้แก่ จีน ก็น่าจะทำให้นักท่องเที่ยวจีนเข้ามากขึ้น

นอกจากนี้ บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) จะเปิดให้บริการอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (SAT-1)ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ในช่วงสิ้นเดือนก.ย.66 ทำให้รองรับเที่ยวบินได้เพิ่มเติม และอาคารแห่งนี้มีหลุมจอด 28 หลุม เป็นบวกต่อภาพธุรกิจการบินและธุรกิจท่องเที่ยวของไทยอย่างมาก

และหลังจากที่ บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) ควบรวมกิจการบมจ.เอสโซ่ (ประเทศไทย) (ESSO) ก็น่าจะส่งผลดีต่อ BAFS เพราะบางจากฯ เป็นผู้ใช้หลักทางท่อส่งน้ำมันของ บริษัท ขนส่งน้ำมัน ทางท่อ จำกัด (FPT) ซึ่งหากนโยบายของบางจากฯ เหมือนเดิมก็น่าจะมีปริมาณการใช้มากขึ้น

สำหรับปริมาณน้ำมันขนส่งผ่านท่อทางภาคเหนือ (ภายใต้ NFPT) บริษัทปรับเป้าหมายขึ้นเป็น 700 ล้านลิตรจาก 600 ล้านลิตร หรือเพิ่มขึ้น 71% จากปีก่อน โดย 7 เดือนแรกมีปริมาณ 65% ของเป้าหมายใหม่ เพราะทีมการตลาดร่วมกับผู้ค้าน้ำมันวางแผนโลจิสติกส์ใหม่ทำให้สามารถรับปริมาณน้ำมันได้เพิ่มขึ้น โดยบริษัทมีส่วนแบ่งตลาด 22% และหากมีการเชื่อมท่อในอนาคต ก็จะทำให้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

ส่วนการจัดตั้งบริษัท BAFS X Mongolia LLC บริษัทย่อยใหม่ ในประเทศมองโกเลียซึ่งบริษัท บาฟส์ คลีน เอนเนอร์ยี่คอร์เปอเรชั่น (BC) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทถือ 100% นั้น ม.ล.ณัฐสิทธิ์ กล่าวว่า เหตุผลที่บริษัทเลือกลงทุนในประเทศมองโกเลีย เพราะเห็นว่าเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูง มีแสงแดดที่ดี 270-300 วันต่อปีที่มีแดดจัดไม่มีเมฆเลย เป็นประเทศที่รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนพลังงานหมุนเวียนซึ่งตั้งเป้าหมายไว้มีสัดส่วนผลิตพลังงานหมุนเวียน 30% ภายในปี 2030 (ปี 2573) ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 7% ก็ยังมีโอกาสเติบโตสูง นอกจากนี้มองโกเลีย เป็นหนึ่งในประเทศกลุ่ม Asia Super Grid

ในส่วนธุรกิจพลังงานหมุนเวียน บริษัทก็ยังมองหาโอกาสลงทุนต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามในปีนี้บริษัทอาจชะลอบางโครงการบ้างเพราะต้องพิจารณาให้รอบคอบ ขณะที่มีบางโครงการที่เข้าร่วมการพิจารณาร่วมลงทุนกับพันธมิตร ซึ่งรวมถึงการพิจารณารวมการลงทุนใหม่ (Green Field) ทั้งในและต่างประเทศด้วย โดยอาจจะเห็นความชัดเจนปีหน้า หรืออีก 2-3 ปี ว่าจะมีการผลิตเพิ่มขึ้นในพลังงานหมุนเวียนประเภทต่างๆ

นายจักรสนิท กฤษสอาดใจ รองกรรมการผู้อำนวยการใหย่สายบัญชีและการเงิน FPT กล่าวว่า แนวโน้มไตรมาส 3/66 มองปริมาณการเติมน้ำมัน เพิ่มจากไตรมาส 2/66 แต่ใกล้เคียง 1/66 เพราะยังอยู่ในช่วงโลว์ซีซั่น แต่อย่างไรก็ดี ไตรมาส 4/66 น่าะจปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยคาดหวังตลาดจีนฟื้นตัวรวมถึงตลาดญี่ปุ่น เกาหลี อินเดียและอาเซียน

ส่วนอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ของบริษัทในปลายปีนี้คาดว่าจะจาก 2.5 เท่าในสิ้นมิ.ย. 66 จะเหลือ 2 -2.2 เท่า เพราะได้ออกหุ้นกู้ Perpetual bond วงเงิน 1 พันล้านบาท ทำให้ฐานทุนของบริษัทปรับตัวสูงขึ้น

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (31 ส.ค. 66)

Tags: , , , ,
Back to Top