JKN ยอมรับเกิด Liquidity Mismatch ทำแผนสะดุด ลั่นหยุดลงทุนหันรุกธุรกิจ MUO

นายจักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ. เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป (JKN) เปิดแถลงชี้แจงกรณีหุ้นกู้ของบริษัท รุ่น JKN239A ผิดนัดชำระหลังครบกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 1 ก.ย.66 ว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากการขาดสภาพคล่อง โดยแหล่งเงินทุนของบริษัทมีระยะสั้น อย่างหุ้นกู้บริษัทมีอายุ 1 ปี 9 เดือน – 2 ปี ขณะที่บริษัทเดินหน้าลงทุนธุรกิจต่อเนื่องซึ่งเป็นการลงทุนระยะยาว ทำให้เกิด Liquidity Mismatch

นอกจากนี้ภาวะการดำเนินธุรกิจในปีนี้ไม่ได้ง่ายด้วยภาวะเศรษฐกิจไม่สดใส ซึ่งต้นปีรับผลกระทบเงินเฟ้อสูง การผิดนัดชำระหุ้นกู้ของบจ. แบงก์ก็ไม่กล้าปล่อยกู้ และการจัดตั้งรัฐบาลล่าช้า

“ท่ามกลางการต่อสู้วิกฤตทุกอย่าง แล้วมาเจอ Surprise ในตลาด ทำให้ตลาดบอนด์บอด แบงก์ก็กลัว ไม่มีใครกล้าปล่อยกู้ ..เคยคิดว่าทำไมเหนื่อยจังเลยปีนี้ จะใช้ชีวิตยังไง เรามีปัญหา Liquidity Mismatch ไม่มีสภาพคล่อง เงินกู้ก็ไม่มี ขณะที่มี long term investment”

ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา JKN ได้ลงทุนต่อเนื่อง ได้แก่ ลงทุนโฮมช้อปปิ้ง ราว 400 ล้านบาท ลงทุนทีวีดิจิทัลช่อง JKN18 วงเงิน  1,200 ล้านบาท และล่าสุดเข้าซื้อกิจการองค์กรนางงามจักรวาลหรือมิสยูนิเวิร์ส (Miss Universe Organization) หรือ กลุ่มธุรกิจ MUO ด้วยเงิน 20 ล้านเหรียญ และต่อยอด MUO Brand ไปขยายในธุรกิจต่างๆ เช่น ธุรกิจสปา ร้านอาหาร อะคาเดมี และธุรกิจโรงแรม เป็นต้น โดยมีการขายลิขสิทธิ์ โดยไม่ได้ลงทุนเอง

นายจักรพงษ์ กล่าวว่า วันนี้บริษัทหยุดลงทุนแล้ว เพราะ Ecosystem ครบแล้วในการดำเนินธุรกิจ Global Content Company โดยจะนำทรัพย์สินที่มีมูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาทมาสร้างอนาคต และไม่มีความคิดตัดขายสินทรัพย์ออก แต่ได้เชิญชวนนักลงทุนเข้ามาร่วมลงทุน JKN ผ่านช่องทาง Private Placement (PP) ที่บริษัทต้องการนักลงทุนที่ไม่ใช่แค่เงินทุนอย่างเดียวแต่ต้องมีวิสัยทัศน์ และคอนเนคชั่นด้วย หรือผู้ประกอบการไหนต้องการจะร่วมลงทุนในธุรกิจที่บริษัทได้แตกไลน์สินค้าจากแบรนด์ MUO อาทิ เครื่องดื่ม เฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น โดยปัจจุบันบริษัทมีเงินสดในมือหลักร้อยล้านบาท อีกทั้งชวนมืออาชีพมาร่วมงานกับ JKN

นายจักรพงษ์ กล่าวว่า บทเรียนเรื่องนี้ทำให้รู้ว่าบริษัทต้องหาแหล่งเงินทุนระยะยาวให้สอดคล้องกับการลงทุนระดับโลก

ส่วนการดำเนินงานชำระหุ้นกู้รุ่น JKN 239A จำนวนเงินต้นและดอกเบี้ยทั้งสิ้น 609,981,369.86 บาท ยังไม่สามารถชำระเต็มจำนวน โดยจะชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยรวม 156,600,000 บาท ในวันครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้ (1 ก.ย. 66) โดยคงเหลือยอดค้างชำระจำนวน 443,400,000 บาท บริษัทฯจะขอมติผู้ถือหุ้นกู้โดยการเรียกประชุมผู้ถือหุ้นกู้ในวันที่ 27 ก.ย.นี้ ซึ่ง บล.เอเซีย พลัส จะติดต่อไปผู้ถือหุ้นกู้ในวันที่ 11 ก.ย.นี้ ทั้งนี้ เงินที่ชำระล่าช้าไปบริษัทจะจ่ายดอกเบี้ยเพิ่ม

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (01 ก.ย. 66)

Tags: , , ,
Back to Top