ผถห.ใหญ่ CV ยันควักเงินเพิ่มทุนเต็มพิกัดมั่นใจปิดประตู Backdoor หนุนร่วมทุน WTX ลุ้นพลิกกำไร

นายเศรษฐศิริ ศักดิ์สิทธิ์เสรีกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.โคลเวอร์ เพาเวอร์ (CV) เปิดเผยว่า บริษัทฯ คาดจะสามารถพลิกกลับมามีกำไรสุทธิได้ในปี 67 หลังจากการปรับโครงสร้างเพื่อรองรับการขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคง ขณะที่จะรับรู้กำไรจากการลงทุนใน บริษัท เวสท์เทค เอ็กโพเนนเชียล จำกัด (WTX) (CV ถือหุ้นในสัดส่วน 20%)

อนึ่ง ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท CV จะเสนอให้ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2566 ในวันที่ 12 ต.ค.66 เพื่ออนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียน 1,920 ล้านบาท จาก 640 ล้านบาท เป็น 2,560 ล้านบาท ด้วยการออกหุ้นเพิ่มทุน 3,840 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท แบ่งเป็น เสนอขายผู้ถือหุ้นเดิม (RO) 2,560 ล้านหุ้น จัดสรร 1 หุ้นเดิม ต่อ 2 หุ้นเพิ่มทุน ราคาหุ้นละ 1 บาท แถมใบสำคัญแสดงสิทธิซื้อหุ้นสามัญของบริษัท ครั้งที่ 1 (CV-W1) ไม่เกิน 1,280 ล้านหุ้น อัตรา 2 หุ้นเพิ่มทุนต่อ 1 หน่วยวอร์แรนต์

หากยังไม่ครบถ้วน บริษัทสามารถพิจารณาจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนเพื่อเสนอให้แก่บุคคลในวงจำกัด (PP) จำนวนไม่เกิน 2,560 ล้านหุ้น ในราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ไม่ต่ำกว่า 90% ของราคาตลาด และไม่ต่ำกว่า 1 บาท

นายเศรษฐศิริ กล่าวว่า บริษัทมั่นใจว่าผู้ถือหุ้นเดิมจะใช้สิทธิ์จองหุ้นครบตามจำนวนที่ออกและเสนขาย ซึ่งจะทำให้ได้รับเงินจากการเพิ่มทุนเข้ามาจำนวน 2,560 ล้านบาท และจากการแปลงสิทธิวอร์แรนต์อีก 1,280 ล้านบาท รวมเป็น 3,840 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้ซื้อหุ้น บริษัท เวสท์เทค เอ็กซ์โพเนนเชียล จำกัด (WTX) ซึ่งประกอบธุรกิจจัดการซากรถยนต์ที่หมดอายุการใช้งาน (Dismantle Recycling) รวมทั้งการแปรรูปเป็นเชื้อเพลิงแข็ง (Solid Recovered Fuel: SRF) และธุรกิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ในสัดส่วน 20% ของหุ้นที่ออกและจำหน่าย ในราคาหุ้นละ 28.10 บาท รวมทั้งสิ้นประมาณ 1,040 ล้านบาท

ส่วนที่เหลือจะนำไปใช้ชำระหนี้เงินกู้ยืมไม่เกิน 500 ล้านบาท, ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและเสริมสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ ไม่เกิน 500 ล้านบาท รวมทั้งใช้ลงทุนรองรับการต่อยอดธุรกิจหลัก และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องในอนาคต ไม่เกิน 2,056 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยให้สามารถสร้างฐานรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

บริษัทคาดว่ากระบวนการเพิ่มทุน RO จะดำเนินการแล้วเสร็จได้ในเดือนพ.ย.นี้

“เรามีความมั่นใจว่าการเพิ่มทุน RO ครั้งนี้ ผู้ถือหุ้นเดิมจะใช้สิทธิครบ โดยส่วนตัว ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นอันดับ 1 หรือคิดเป็น 28.09% ก็ยืนยันว่าจะใช้สิทธิให้ได้มากที่สุด เช่นเดียวกับ น.ส. นิลทิตา เลิศเรืองศุภกุล ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นอันดับสอง มีสัดส่วนการถือหุ้นราว 13.83% ก็น่าจะใช้สิทธิครบเช่นกัน ทำให้การเพิ่มทุน PP ซึ่งเป็นตัวเลือกสุดท้ายของเราจะไม่เกิดขึ้น รวมถึงยืนยันจะไม่เกิดการเอื้อประโยชน์ให้บุคคลอื่นเข้ามา Backdoor ตามที่นักลงทุนกังวลด้วย” นายเศรษฐศิริ กล่าว

กรณีที่การเพิ่มทุน RO มีผู้ถือหุ้นเดิมมาใช้สิทธิรอบแรกไม่ครบ บริษัทก็พร้อมที่จะพิจารณาการทำในครั้งที่ 2 และต่อๆไป ส่วนการเพิ่มทุน PP ปัจจุบันบริษัทยังไม่ได้มีการเจรจากับพันธมิตรรายใด เพราะมั่นใจว่าจะขาย RO ได้ครบตั้งแต่ครั้งแรก ซึ่งจำนวนเงินที่จะได้ราว 2,560 ล้านบาท ก็จะมีความเพียงพอต่อการนำไปต่อยอดธุรกิจแล้ว

นายเศรษฐศิริ กล่าวว่า ภายหลังจากการเพิ่มทุน และเข้าถือหุ้นใน WTX จะทำให้บริษัทฯ มีรายได้จากธุรกิจที่ดำเนินการอยู่แล้ว เนื่องจาก WTX ทำธุรกิจพลังงานคล้ายกับ CV โดย WTX มีโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งในประเทศที่เป็นสัญญาซื้อขายไฟ PPA จำนวน 1 โรง กำลังการผลิต 27 เมกะวัตต์ (MW) และสัญญาซื้อขายไฟแบบ Private PPA จำนวน 2 โรง กำลังการผลิตรวม 3.988 MW มีโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศเวียดนามจำนวน 1 โรง กำลังการผลิต 29 MW และมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่อยู่ระหว่างก่อสร้างในประเทศเมียนมาอีก 2 โครงการ กำลังการผลิตรวม 150 MW

อีกทั้ง WTX ยังมีโครงการโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรมที่จะได้รับ PPA อีกจำนวน 2 โครงการ กำลังการผลิตรวม 19 MW และยังอยู่ระหว่างพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าขนาดเล็กอีกจำนวน 2 โครงการ

WTX ยังมีธุรกิจต้นน้ำ คือ ธุรกิจจัดการรถยนต์เก่า โรงแปรรูปเชื้อเพลิงแข็งสำหรับขยะอุตสาหกรรม และธุรกิจรีไซเคิลเหล็ก ซึ่งจะช่วยในการส่งเสริมธุรกิจซึ่งกันและกันกับธุรกิจของ CV (Business Synergy) และเกิดการประหยัดจากขนาด (Economies of Scale) รวมถึงยังได้ประโยชน์ จาก Business Opportunity ระหว่าง CV และ WTX ในด้านวิศวกรรมการออกแบบก่อสร้างโครงการใหม่ๆ และรวมถึงงาน Operation & Maintenance (O&M) รวมถึงเพิ่มช่องทางการได้มาซึ่งพันธมิตรทางธุรกิจ สร้างโอกาสในการขยายธุรกิจในกลุ่มของพลังงานทดแทนและธุรกิจการขายเชื้อเพลิงแปรรูป เป็นการสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทได้ในระยะยาว

สำหรับผลประกอบการของ CV ในปี 67 จะมาจากธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า ซึ่งคาดว่าจะเติบโต 5-10% โดยยังคงมุ่งเน้นพัฒนาและกระจายการลงทุนในโรงไฟฟ้าที่ใช้เทคโนโลยีจากพลังงานหมุนเวียนหลากหลายประเภท

ปัจจุบัน CV มีโครงการโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วจำนวน 4 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 23.66 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลจำนวน 2 โครงการ โรงไฟฟ้าขยะจำนวน 1 โครงการ และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม จำนวน 1 โครงการ และโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและก่อสร้างอีกหลายโครงการ

ด้านธุรกิจเชื้อเพลิง บริษัทฯ ได้เข้าลงทุนในธุรกิจผลิตเชื้อเพลิงชีวมวลอัดเม็ด (Wood Pellet) ในประเทศเวียดนาม เพื่อรองรับกับการขยายงานด้านโรงไฟฟ้าชีวมวลในต่างประเทศ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (07 ก.ย. 66)

Tags: , , ,
Back to Top