MCA เปิด Big Lot ให้พันธมิตร 2 รายเข้าถือ 5% ในวันเข้าเทรด 26 ต.ค.ราคาไม่ต่ำกว่า IPO

นายภักดี เหล่างาม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.มาร์เก็ต คอนเน็กชั่นส์ เอเชีย (MCA) เปิดเผยว่า บริษัทพร้อมที่จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในหมวดธุรกิจบริการ (Service) ในวันที่ 26 ตุลาคม 2566 โดยในวันแรกของการเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์

นายภักดี เหล่างาม มีความประสงค์จะนำหุ้น 5.00% ของทุนจดทะเบียนหลัง IPO โดยขายให้นักลงทุน 2 ราย ได้แก่ นายรัฐนันท์ วิไลลักษณ์ และนางสาวนลินี แจ่มวุฒิปรีชา ในสัดส่วน 3.91% และ 1.09% ของทุนจดทะเบียนหลัง IPO ตามลำดับ ผ่านการซื้อขายหลักทรัพย์รายใหญ่ (Big Lot) ในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยราคาซื้อขายดังกล่าวจะไม่ต่ำกว่าราคาที่เสนอขายต่อประชาชนทั่วไปที่ระดับ 3.30 บาท

สำหรับการขาย Big Lot ให้นักลงทุน 2 รายข้างต้น ไม่มีความเกี่ยวข้องระหว่างกัน และไม่มีความเกี่ยวข้องกับกรรมการ ผู้บริหาร ผู้มีอำนาจควบคุม และผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ อีกทั้งไม่มีการทำสัญญาผู้ถือหุ้น (Shareholder Agreement) ระหว่างนักลงทุนหรือระหว่างนักลงทุนกับผู้ขาย โดยการซื้อขายหุ้นครั้งนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างคณะกรรมการ และโครงสร้างผู้บริหารของบริษัทฯ แต่อย่างใด โดยบริษัทได้มีการเปิดเผยข้อมูลไว้ในไฟลิ่งไว้เรียบร้อยแล้ว

โครงสร้างผู้ถือหุ้นภายหลังการเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ อันดับ 1 ยังคงเป็นบริษัท ภักดี 2019 โฮลดิ้ง จำกัด ในสัดส่วนการถือหุ้น 51.74% และอันดับ 2 คือนายภักดี เหล่างาม สัดส่วนการถือหุ้น 17.17% ซึ่งเมื่อนับรวมกันแล้ว ยังถือต่อราว 69%

“การที่มีนักลงทุนเข้ามาซื้อ Big Lot เชื่อว่ากลุ่มนักลงทุนดังกล่าวเล็งเห็นโอกาสและมีความเชื่อมั่นในศักยภาพของ MCA ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เนื่องจากเม็ดเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ บริษัทจะใช้นำไปขยาย Scale งาน และธุรกิจใหม่ Distributor ซึ่งเป็นการสร้าง New S-Curve สู่การเติบโตในอนาคต โดยปัจจุบันได้รับโอกาสจากลูกค้ากลุ่มธุรกิจของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์แล้ว 2 ราย ซึ่งเป็นการให้บริการการจัดจำหน่ายผ่านร้านค้าประเภทร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม (Traditional Trade) กระจายทั่วประเทศไทย “

*โบรกฯให้เป้า MCA  4.50-5.10 บาท

บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ให้ราคาเหมาะสม MCA ที่ 5.10 บาทต่อหุ้น โดยประสบการณ์ในการให้บริการจัดกิจกรรมทางการตลาดแบบครบวงจร และมีการขยายธุรกิจ Distributor ซึ่งจะมีโอกาสเกิด upsideใหม่ ทำให้คาดการณ์กำไรปกติในปี 2566 ที่ 36 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 119% (YoY) ขณะที่รายได้รวมปี 2023 ที่ 499 ล้านบาท (+34% YoY) โดยมี backlog เป็น secured revenue 96% และกำไรปกติ ปี 2024 ที่ 59 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 62% (YoY) ขณะที่รายได้ปี 2567 ประเมินที่ 650 ล้านบาท (+30%YoY) อิงสมมติฐานเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวจากการกลับมาของภาคการท่องเที่ยว ส่วน GPM ในปี 2566-2567 ประเมินไว้ที่ 22% สะท้อนโครงสร้างที่ใกล้เคียงกับปี 2565

บล.โกลเบล็ก ให้ราคาเหมาะสม MCA ที่ 5.00 บาทต่อหุ้น MCA ผู้เชี่ยวชาญในการวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาด พร้อมการให้บริการจัดกิจกรรมส่งเสริมทางการตลาดแบบครบวงจร โดยมีบริการหลัก 4 ประเภท 1) บริการจัดกิจกรรมทางการตลาดและดิจิทัล 2) บริการบรรจุและจัดส่งสินค้า 3) บริการพนักงานแนะนำสินค้า 4) บริการจัดเรียงสินค้า และขยายสู่ธุรกิจใหม่ในการเป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้า ( Distributor) ซึ่งจะสนับสนุนให้สร้างผลกำไรโดยรวมปรับดีขึ้น พร้อมประเมินรายได้จากการบริการ ในปี 2566-2567 ราว 489 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% (YoY) และ 625 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% (YoY) ตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) เท่ากับ 19%ต่อปี จึงใช้สมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ในปี 2566 ทีระดับ 22.5% เท่ากับงวด 6 เดือนแรกปี 2566 และปรับดีขึ้นเป็น 23% ในปี 2567 ส่งผลให้ประเมินกำไรสุทธิในปี 2566-2567 ที่ 33 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 100% (YoY) และ 56 ล้านบาท เพิ่มขึ้น70% (YoY) หรือคิดเป็นอัตราการ เติบโตเฉลี่ย CAGR) เท่ากับ 50% ต่อปี

บล.ฟินันเซีย ไซรัส ให้ราคาเหมาะสม MCA 4.80 บาทต่อหุ้น โดยได้คาดการณ์กำไรสุทธิ ปี 2566 ที่ 31 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 87% (YoY) และปี 2567 อยู่ที่ 54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 75%(YoY) และคาดว่าจะมีรายได้จากการให้บริการรวมในช่วงปี 2566-2567 เพิ่มขึ้น 22.8% และ เพิ่มขึ้น 23.3% ตามลำดับ เป็นผลมาจากรายได้จากทุกธุรกิจฟื้นตัวจากช่วงโควิดต่อเนื่อง ที่สำคัญการขยายงานในธุรกิจบริการใหม่ ได้แก่ รายได้จากกลุ่มการบริการจัดเรียงสินค้า (Merchandiser) ที่เติบโตขึ้นมากที่สุดและเป็นหนึ่งในสัดส่วนรายได้หลักของบริษัท และธุรกิจผู้จัดจำหน่ายสินค้า (Distributor) ที่ล่าสุดบริษัทฯ ได้มีเริ่มดำเนินการโครงการนำร่อง (Pilot Project) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเริ่มดำเนินการให้บริการตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2566

บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ให้ราคาเหมาะสม MCA ที่ 4.60 บาทต่อหุ้น โดยคาด กำไรสุทธิของบริษัทจะมีการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 61.0% CAGR ใน 2565-2568 และกำไรต่อหุ้นเติบโต 45.6% CAGR และคาดว่ารายได้สำหรับปี 2566-2568 จะอยู่ที่ 475 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.3% (YoY) 598 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.0% (YoY) และ 685 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.6%(YoY) ตามลำดับ โดยบริการจัดกิจกรรมทางการตลาดและดิจิทัลจะเป็นบริการหลักหนุนการเติบโต โดยคาดว่าจะมีการเติบโตอยู่ที่ 21.5% CAGR ใน 2565-2568

บล.บียอนด์ ให้ราคาเหมาะสม MCA ที่ 4.50 บาทต่อหุ้น ได้คาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้นเติบโตเฉลี่ยที่ระดับ CAGR 43% ในปี 2566-2568 และคาดกำไรสุทธิเติบโตจาก 17 ล้านบาทในปี 2565 เป็น 68 ล้านบาท ในปี 2568 จากรายได้เติบโต 32% 29% และ 17% ในปี 2566-2568 ตามลำดับ ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ในปี 2566-2568 ที่ระดับ 22-23% เทียบกับ 22.5% ใน1H23 และ 22.2% ในปี 2565 เป็นผลจากการเติบโตสูงของรายได้จากบริการ Merchandiser (มี GPM ที่ราว 17%) และรายได้จากบริการใหม่ Distributor (คาด GPM ราว 8-10%) ที่เริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ 2H23 ซึ่งเป็นธุรกิจที่มี GPM ต่ำกว่าบริการกิจกรรมด้านการตลาดที่มี GPM สูงกว่า

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 ต.ค. 66)

Tags: , , ,
Back to Top