AIMC เชียร์ฟื้น LTF ร่วม FETCO ยกข้อดีกล่อม “เศรษฐา” สร้าง Positive Impact ตลาดหุ้น-ส่งเสริมภาคการออม

นางชวินดา หาญรัตนกูล นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) และ กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย (KTAM) เปิดเผยว่า จะเข้าร่วมในกลุ่มสมาชิกสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เข้าหารือกับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ในสัปดาห์หน้า เพื่อนำเสนอแนะให้รัฐบาลรื้อฟื้นกองทุนเพื่อการออมระยะยาว (LTF) เนื่องจากจะส่ง Positive Impact ต่อตลาดหุ้นไทย ด้วยการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนของนักลงทุนสถาบัน ซึ่งปัจจุบันน้ำหนักได้ลดลงไปอย่างมาก หลังจากปรับเปลี่ยนมาเป็น SSF

นอกจากนั้น LTF จะช่วยส่งเสริมภาคการออมของประเทศให้มีความเข้มแข็งขึ้น เพราะจะเห็นได้ว่าในช่วง 5 ปีที่ไม่มีกองทุน LTF ภาคการออมเบาบางลงไป และการเติบโตภาคการออมอยู่ในอาการน่าเป็นห่วง จึงควรมีกองทุนเพื่อการออมระยะยาว เพื่อส่งเสริมภาคการออมให้กลับมาเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

LTF ยังช่วยสนับสนุนยุทธศาสตร์ชาติที่มุ่งเป้า Net Zero ภายในปี 2065 และช่วยภาคธุรกิจ โดยจะเข้าลงทุนทางตรงและทางอ้อมกับบริษัทที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะทำให้เกิดการกระตุ้นบริษัทจดทะเบียน และรวมไปถึงคู่ค้าที่อาจจะเป็นบริษัทนอกตลาด ให้สร้าง Ecosystem ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม และจะส่งผลทางอ้อมต่อการส่งออกของไทย เพราะขณะนี้การส่งออกไปยังยุโรป มีความสุ่มเสี่ยงมากขึ้นที่จะถูกนำมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมมาเป็นข้อจำกัด ซึ่งการลงทุนของกองทุน LTF จะช่วยให้บริษัทหรือภาคธุรกิจสามารถแข่งขันกับประเทศอื่นในด้านนี้ได้

นางชวินดา กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทย (SET) ในปีนี้ให้ผลตอบแทนติดลบ 18% แย่กว่าปีที่เกิดโควิด ซึ่งติดลบไปราว 7% ทั้งที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทยในปีนี้ดีกว่าปีที่เกิดโควิด เพราะรายได้และกำไรสูงกว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติก็เข้ามามากขึ้น ทุกตัวเลขเศรษฐกิจปีนี้ดีกว่าปีที่เกิดโควิด มองดูปัจจัยพื้นฐานควรดีขึ้น แต่เป็นเพราะได้รับผลกระทบจากการเมือง นโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะเรื่องเงินดิจิทัล ในมุมมองนักลงทุนต่างชาติเมื่อเห็นว่านโยบายรัฐบาลไม่ชัดเจน รวมไปถึงปัญหาหนี้สาธารณะ และอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศที่ยังต่ำ แต่เชื่อว่าหากนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลมีความชัดเจนก็จะส่งเสริมตลาดหุ้นไทย ขณะที่ปัจจัยนอกประเทศ การปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐก็คาดว่าน่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นเป็นลำดับ

นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน ระบุว่า ในปีหน้าเชื่อว่าตลาดหุ้นไทย ยังน่าลงทุน และน่าเข้าสะสม เพราะแรงกระแทกจากเศรษฐกิจโลกไม่น่าจะเกิดขึ้นแล้ว รวมถึงการปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐน่าจะถึงจุดสูงสุดแล้ว และเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ปัจจัยในประเทศทั้งจากการเมือง และปัญหาของหุ้นในบางอุตสาหกรรมอาจจะทำให้ตลาดหุ้นยังอ่อนแอ สงครามในอิสราเอลก็หวังว่าไม่มีอะไรรุนแรงไปมากกว่านี้ อย่างไรก็ดี ยอมรับคงจะไม่ได้เห็นตลาดหุ้นไทยบวกขึ้นไปแรงถึงขั้น 20-30% ในระยะนี้

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (07 พ.ย. 66)

Tags: , , , , , , ,
Back to Top