TKN ลุยต่อยอดเฟรนไชส์ “ร้าน 71 หมูกะทะ” เปิดเพิ่ม 2-3 สาขาปี 67 หลังสาขาแรกบรรทัดทองลูกค้าแน่น

นายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง (TKN) เปิดเผยว่า บริษัทฯ มั่นใจผลการดำเนินงานในปีนี้จะเติบโต 20% ตามเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งผลิตภัณฑ์สาหร่าย “เถ้าแก่น้อย” ยังสามารถครองตำแหน่งผู้นำตลาดสาหร่ายอันดับ 1 ในทุกๆกลุ่ม ทั้ง ทอด อบ ย่าง ขณะเดียวกันบริษัทได้ขยายธุรกิจของบริษัทในเครือ คือ บริษัท เถ้าแก่น้อย เรสเตอรองท์ แอนด์ แฟรนไชส์ จำกัด (TKNRF) โดยได้ร่วมมือกับพันธมิตร “ร้าน 71 หมูกระทะ” ขยายสาขาร้านอาหารภายใต้โมเดลแฟรนไชส์ เปิดร้าน 71 หมูกระทะแห่งแรกที่เป็นสาขาแฟรนไชส์ในทำเลย่านบรรทัดทอง ซึ่งได้รับผลตอบรับดีจากผู้บริโภค และเตรียมพร้อมศึกษาการเปิดสาขาเพิ่มเติม 2-3 สาขาในปีหน้า

ภาพรวมผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/66 (ก.ค.-ก.ย.) บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการผลักดันการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้จากการขาย 1,436.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.8% และมีกำไรสุทธิ 214.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีปัจจัยมาจาก 1. การขายผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลาย (Product Mix) ด้วยการเพิ่มยอดขายสาหร่ายแบบอบมากขึ้น ทำให้มีมาร์จิ้นสูงขึ้น ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมากทั้งตลาดในและต่างประเทศ และ 2. เพิ่มช่องทางจำหน่ายในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดสหรัฐอเมริกา อินโดนีเซีย และมาเลเซีย พร้อมวางแผนขยายตลาดไปในประเทศแถบยุโรปเพิ่มเติม ซึ่งจะใช้โมเดลธุรกิจคล้ายกับในสหรัฐฯ เพื่อขยายตลาด

ขณะที่ผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนแรกของปี 66 (ม.ค.-ก.ย.) มีรายได้จากการขาย 3,983.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้จากการขาย 3,135.1 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 575.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 83.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 313.6 ล้านบาท และสามารถรักษาระดับการทำอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ที่ 15% ใกล้เคียงกับที่ผ่านมา โดยบริษัทฯ ยึดมั่นการดำเนินกลยุทธ์ 3 Go (Go Firm-Go Brand-Go Global) ส่งผลให้การดำเนินงานเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลยุทธ์ Go Firm ในการ Lean องค์กรให้มีความคล่องตัวพร้อมรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ เช่น ต้นทุนราคาสาหร่ายที่ปรับเพิ่มขึ้นมา โดยบริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับการเพิ่มขีดความสามารถในการทำกำไร และรักษาอัตราการทำกำไรให้ดีขึ้น

ทั้งนี้ สัดส่วนรายได้จากตลาดในประเทศคิดเป็น 35% และต่างประเทศ 65% ซึ่งทุกกลุ่มประเทศที่ส่งออกสินค้ามีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเทศจีนมียอดคำสั่งซื้อฟื้นตัวต่อเนื่อง เฉลี่ย 150 ตู้คอนเทนเนอร์ต่อเดือน ขณะที่ตลาดในอินโดนีเซีย คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ หลังมีดิสทรีบิวเตอร์รายใหม่เข้ามาช่วยขยายช่องทางจำหน่ายหลากหลายกลุ่ม ทั้งร้านค้าแบบดั้งเดิม หรือ Traditional Trade (TT) รวมถึงร้านค้าท้องถิ่น Local Modern Trade (MT) นอกจากนี้ ด้านบริษัทในเครือที่ประเทศสหรัฐอเมริกา สามารถปรับปรุงผลประกอบการกลับมาเกินกว่าจุดคุ้มทุน (Break Even) ได้แล้ว หลังจาก 2-3 ปีที่ผ่านมามีผลงานขาดทุน

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (10 พ.ย. 66)

Tags: , , , ,
Back to Top