TIPH วางเป้าใหญ่ขึ้นเบอร์ 1 ธุรกิจประกันใน 5 สยายปีกลาว-กัมพูชา-เวียดนาม รุกหนักช่องทางดิจิทัล

นายสมพร สืบถวิลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (TIPH) และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ทิพยประกันภัย กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าปี 67 มีเบี้ยประกันรวมเติบโต 7-8% จากปีนี้ (ปี 66) คาดมียอดเบี้ยประกันของบริษัทอยู่ที่ 3.5 หมื่นล้านบาท โดยคาดว่าภายใน 5 ปีจะมีเบี้ยประกันอย่างน้อย 4.5 หมื่นล้านบาทและหวังขึ้นเป็นอันดับหนึ่งธุรกิจประกันในประเทศ และมุ่งมั่นจะเป็นผู้นำธุรกิจประกันภัยในภูมิภาคเอเชีย โดยจัดงบลงทุนปีละ 2 พันล้านบาท

สำหรับบริษัทประกันชีวิตและประกันวินาศภัยในลาว ซึ่งบริษัทได้เข้าไปร่วมทุน ผลตอบรับช่วง 2-3 เดือนที่ได้จัดตั้งบริษัท กระแสตอบรับค่อนข้างดีมาก ซึ่งภายใน 3-5 ปีข้างหน้า บริษัทตั้งเป้าจะเป็น 1 ใน 3 ของผู้นำด้านธุรกิจประกันภัยในลาว ทั้งนี้ปัจจุบันบริษัทในลาวมียอดเบี้ยประกันอยู่ที่ 60 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าเบี้ยประกันทั้งประเทศลาวอยู่ที่ 670 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเจ้าตลาดปัจจุบันมียอดเบี้ยประกันอยู่ประมาณ 60-70% ของตลาด ซึ่งการจะขึ้นเป็นหนึ่งในผู้นำในประเทศลาว บริษัทจะมีเบี้ยประกันอยู่ที่ประมาณ 200 – 300 ล้านเหรียญสหรัฐ และบริษัทมีแผนจะเพิ่มสัดส่วนถือหุ้นในลาว จากปัจจุบันอยู่ที่ 15%ซึ่งถือโดย บมจ.ทิพยประกันภัย และนำ TIPH เข้าไปถือหุ้นเพิ่มมากกว่า 50% โดยผลิตภัณฑ์หลักที่ทำไปขายในลาวคือประกันการก่อสร้าง แต่ช่วงที่ผ่านมามีการชะลอตัวลงจากภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งในอนาคตคาดว่าประกันด้านรถยนต์จะมีการเติบโตสูงกว่าประกันการก่อสร้าง

และบริษัทอยู่ในระหว่างการพูดคุยเพื่อที่จะไปจัดตั้งบริษัทในกัมพูชาในปี 67 โดย TIPH จะเข้าไปถือหุ้นในสัดส่วนไม่เกิน 45% ตามข้อกฎหมายในประเทศ ซึ่งคาดว่ายอดเบี้ยประกันของลาวและกัมพูชาจะอยู่ที่ประมาณ 500 ล้านบาทใน 3 ปี นอกจากนี้บริษัทมีแผนที่จะจับมือกับบริษัทประกันภัยชั้นนำ TOP 5 ในเวียดนาม ในรูปแบบ JV ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระหว่างการพูดคุย คาดจะจัดตั้งบริษัทในครึ่งปีหลังของปี 67

นอกจากนี้ บริษัท อินชัวร์เวิร์ส (Insurverse) ที่บริษัทเพิ่งจัดตั้ง เพื่อให้บริการด้านธุรกิจประกันภัยดิจิทัลเต็มรูปแบบ กระแสตอรับค่อนข้างดี ซึ่งปัจจุบันบริษัทมุ่งเน้นการสร้าง Brand Awareness และจะเริ่มสร้างยอดขายต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าเบี้ยประกันภัยทะลุ 5,000 ล้านบาทภายใน 5 ปี และนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ อย่างไรก็ตามบริษัทได้ปรับแผนการดำเนินงานใน 66 เนื่องจากมีความล่าช้าในการเปิดตัวธุรกิจดังกล่าว จากเดิมคาดว่าจะมียอดเบี้ยประกันปี 66 อยู่ที่ประมาณ 300 ล้านบาท อาจจะต้องปรับลดลงเหลือไม่ถึง 100 ล้านบาท

ทั้งนี้ สัดส่วนการให้บริการปัจจุบัน เป็นประกันภัยรถยนต์ 30% และอื่นๆ อีก 70% ซึ่งในปีถัดไปบริษัทจะเริ่มขยายกรมธรรม์รถยนต์มากขึ้น โดยคนเริ่มเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ EV มากขึ้น และเบี้ยประกันของรถยนต์ EV แพงกว่ารถยนต์สันดาป ประมาณ 15%

นายสมพร กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยปีหน้าคาดว่าจะฟื้นตัวจากปีนี้ เนื่องจากภาครัฐต้องผลักดันการลงทุนเพื่อผลักดันเศรษฐกิจ เมื่อมีการลงทุน ต้องมีการจ้างงาน เศรษฐกิจครัวเรือน ฐานรากก็จะเริ่มฟื้นตัว รวมทั้งการส่งเสริมการท่องเที่ยวของภาครัฐ เพราะฉะนั้นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธนาคาร การท่องเที่ยว ร้านอาหาร จะเริ่มพลิกฟื้นกลับเข้ามา

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (15 พ.ย. 66)

Tags: , , ,
Back to Top