ภาวะตลาดตราสารหนี้: วันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 54,279 ล้านบาท

สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำวันนี้ มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งวันอยู่ที่ 54,279 ล้านบาท ด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด 2 อันดับแรก คือ

1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซื้อสุทธิ 10,524 ล้านบาท

2. กลุ่มบริษัทประกัน ซื้อสุทธิ 501 ล้านบาท

ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ซื้อสุทธิ 1,046 ล้านบาท  Yield พันธบัตรอายุ 5 ปี ปิดที่ 2.6% ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเมื่อวาน

ภาพรวมของตลาดในวันนี้

Yield Curve ปรับตัวลดลงจากวันก่อนหน้าประมาณ 1-4 bps. สำหรับกระแสเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติวันนี้ NET INFLOW 1,046 ล้านบาท โดยเกิดจาก NET BUY 1,046 ล้านบาท และไม่มีตราสารหนี้ที่ถือครองโดยนักลงทุนต่างชาติหมดอายุ (Expired)  ด้านปัจจัยต่างประเทศ รายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตประจำเดือนพ.ย.ของจีนปรับตัวลงสู่ระดับ 49.4 จากระดับ 49.5 ในเดือนต.ค. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ในโพลสำรวจของสำนักข่าวรอยเตอร์คาดการณ์ว่าอาจอยู่ที่ 49.7 อาจทำให้รัฐบาลจีนต้องใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ด้านปัจจัยในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานเศรษฐกิจไทยในเดือนตุลาคม 2566 อยู่ในทิศทางฟื้นตัวตามอุปสงค์ในประเทศ ทั้งการบริโภค และการลงทุนภาคเอกชน  ด้านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) มี NET SELL ของนักลงทุนต่างชาติ 3,704 ล้านบาท ทั้งนี้ตลาดติดตามรายงานดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐฯ ประจำเดือนต.ค. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ ในวันคืนนี้

สรุปภาวะการซื้อขายตราสารหนี้

ตลาดตราสารหนี้ไทย30-11-2023%Change
 มูลค่าการซื้อขาย54,278.57 ลบ.
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 3 เดือน2.08 %0.00 %
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 1 ปี2.38 %0.00 %
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 5 ปี2.60 %0.00 %

มูลค่าการซื้อขายแบบ Outright (แยกตามประเภทตราสาร)

ประเภทตราสารล้านบาท%Change%Change
ตั๋วเงินคลัง126.84ลดลง29 %
พันธบัตรรัฐบาล27,380.30เพิ่มขึ้น5 %
ตั๋วสัญญาใช้เงินรัฐบาล0.00n/a
พันธบัตร ธปท.23,673.83เพิ่มขึ้น13 %
พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ287.40ลดลง66 %
หุ้นกู้เอกชน832.93ลดลง13 %
พันธบัตรต่างประเทศ0.00n/a

หมายเหตุ: n/a คือ หาค่าไม่ได้ เนื่องจากไม่มีมูลค่าการซื้อขายในวันก่อนหน้า

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (30 พ.ย. 66)

Tags: , , ,
Back to Top