อดีตปลัดคลัง แนะถก “คลัง-สภาพัฒน์-ธปท.” เคลียร์นิยามวิกฤตเศรษฐกิจ

นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธ์ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) และอดีตปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวถึงกรณีคณะกรรมการกฤษฎีการมีความเห็น ว่าพ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท เพื่อทำโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทสามารถทำได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง มาตรา 53 เกี่ยวข้องกับวิกฤตของประเทศ และมาตรา 57 เกี่ยวข้องกับความคุ้มค่าในการดำเนินการว่า ทางที่ดีรัฐบาลควรเรียกประชุมหน่วยงานเศรษฐกิจของประเทศ กระทรวงการคลัง สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อปรึกษาและตกลงกันว่า คำว่านิยามเศรษฐกิจ ตามความหมายของพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังเป็นอย่างไร ถึงขั้นวิกฤตหรือยัง เพราะถ้าไม่ชัดเจนก็สุ่มเสี่ยงจะมีการโต้แย้งวิวาทะทางวาจา และทางคดีมากมาย ซึ่งจะเป็นความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นต่อผู้ปฏิบัติงานทั้งในปัจจุบันและอนาคต

“คำว่าวิกฤตทั่วไป จะต้องเป็นกรณีเศรษฐกิจถดถอยอย่างชัดเจนและยาวนาน รวมทั้งประเทศเผชิญความยากลำบาก มีองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการคือ ความรุนแรง ระยะเวลาการชะลอตัวที่ยาวนาน รวมถึงขอบเขตของผลกระทบเป็นวงกว้าง และแพร่กระจายอย่างกว้างขวางในภาคส่วนต่างๆ และมีปัญหาความไม่มั่นคงทางการเงิน เช่น ความล้มเหลวของธนาคารหรือราคาสินทรัพย์ที่ลดลงอย่างรวดเร็ว แต่บางคนอาจจะมองแค่ว่าการชะลอเศรษฐกิจหลายไตรมาสติดต่อกัน หรือเทียบระหว่างไตรมาสนี้ปีนี้กับไตรมาสนี้ของปีที่แล้วถ้าติดลบก็ถือว่าวิกฤต จึงอยู่ที่คำนิยามว่าจะเป็นอย่างไร”

นายสถิตย์ กล่าวว่า พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง ระบุไว้ชัดเจนว่าในกรณีที่ไม่สามารถดำเนินโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยงบประมาณที่มีอยู่ได้ สามารถออกเป็นพ.ร.บ. เงินกู้ได้ ซึ่งในส่วนนี้จะส่งผลให้เป็นการเติมเงิน 5 แสนล้านบาท เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจและจะส่งผลให้เศรษฐกิจโตขึ้นประมาณ 3.2% แต่หากใช้งบประมาณประจำปีปกติ จะไม่ส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

แนะเทียบความคุ้มค่า หากกู้เพิ่มดันหนี้สาธารณะสูงขึ้น

ส่วนเรื่องความคุ้มค่า ต้องดูว่ากระทบต่อหนี้สาธารณะมากน้อยเพียงใด เพราะมีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 3.2% ซึ่ง ธปท. คาดการณ์ว่า หากมีการเติมเงิน 5 แสนล้านบาท เศรษฐกิจอาจขยายตัวได้ถึง 3.8% หมายความว่าจะมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น 0.6% แต่ในทางกลับกัน ต้องประเมินถึงสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ ซึ่งขณะนี้อยู่ที่ 62.4% ของ GDP แต่หากมีการกู้เงินอีก 5.6 แสนล้านบาท จะส่งผลต่อหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นถึง 64-65% ซึ่งรัฐบาลต้องเทียบว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจให้โตขึ้น 0.6% จะคุ้มค่ากับการเสียพื้นที่ทางการคลังจากหนี้สาธารณะที่ขยับตัวขึ้นหรือไม่

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (09 ม.ค. 67)

Tags: , , ,
Back to Top