กูรูพลังงาน สะกิดรัฐบาลทบทวนนโยบายก่อนศก.พัง หลังบริหารผิดพลาด

อดีตผู้บริหารด้านพลังงาน ประกอบด้วย ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี, นายณรงค์ชัย อัครเศรณี อดีต รมว.พลังงาน และ นายคุรุจิต นาครทรรพ อดีตปลัดกระทรวงพลังงาน ทำหนังสือเปิดผนึกถึงนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เพื่อเรียกร้องให้ทบทวนนโยบายพลังงาน ทั้งประเด็นเรื่องของราคาน้ำมันดีเซล ก๊าซหุงต้ม LNG ไฟฟ้า

“เมื่อเห็นปัญหา ก็เสนอรัฐบาลให้ได้เห็น เพราะยังไม่มีใครหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา…ก่อนหน้านี้นายกฯ ยังไม่รู้เรื่อง พวกเราจึงนำเสนอข้อมูลให้รับทราบ หลายคนพยายามที่จะไปคุยกับ รมว.พลังงานแล้ว แต่ไม่รับฟัง จึงคิดว่าไปบอกนายกฯ ให้เข้าใจได้ง่ายกว่า แต่หาก รมว.พลังงานจะเชิญไปคุยด้วย ก็ยินดี” ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว

*ห่วงหนี้สินกองทุนน้ำมันฯ เพิ่ม

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ระบุว่า พวกตนมีความเป็นห่วงในความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับระบบเศรษฐกิจของประเทศ เพราะหลังจากรัฐบาลปัจจุบันเข้าบริหารงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง มีภาระหนี้สินจำนวน 48,000 ล้านบาท แต่ผ่านไปเพียงแค่ 5 เดือนถึงสิ้นเดือน ม.ค.67 หนี้สินกองทุนน้ำมันฯ เพิ่มขึ้นเป็น 84,000 ล้านบาท เพราะกระทรวงพลังงานไปกดราคาน้ำมันดีเซลลงจากลิตรละ 32 บาท เป็นลิตรละ 30 บาท และลดราคาน้ำมันกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล์ ลงอีกลิตรละ 2.50 บาท อันเป็นผลให้กองทุนฯ ต้องชดเชยราคาสำหรับน้ำมันดีเซล และลดการเก็บเงินเข้ากองทุนฯ จากน้ำมันกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล์ รวมถึงตรึงราคา LPG ไว้ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น หากปล่อยไปเช่นนี้ หนี้ของกองทุนน้ำมันฯ จะเพิ่มสูงขึ้นไปอีก จนถึงเพดานหนี้ตามที่กฎหมายกำหนดกรอบไว้ขณะนี้ คือ 110,000 ล้านบาท

ในช่วงนี้ที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกไม่ได้ผันผวนถึงขั้นวิกฤต ควรเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อคืนสภาพคล่องและลดหนี้

“การลดราคาน้ำมันลงเป็นประโยชน์สำหรับเจ้าของรถก็จริง แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง จะเกินความสามารถที่จะชำระคืน รัฐบาลก็ต้องนำเงินจากภาษีที่เก็บจากประชาชนทั้งประเทศไปล้างหนี้ดังกล่าว ซึ่งเท่ากับว่าประชาชนที่ไม่ได้เป็นเจ้าของรถ ต้องมาช่วยแบกภาระหนี้แทนเจ้าของรถที่มีฐานะดีกว่า ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลที่ดีพึงระวัง” ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว

ขณะที่นายคุรุจิต นาครทรรพ อดีตปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ภาระหนี้กองทุนน้ำมันฯ ส่งผลให้มีหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นราว 2.2.แสนล้านบาท การอุดหนุนราคาน้ำมันคงต้องพิจารณาช่วงเวลาที่เหมาะสม หรือให้ความช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มที่เดือดร้อนจริงๆ

*กฟผ.แบกหนี้เพิ่ม

ราคาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ในตลาดโลกสูงขึ้นอย่างมาก อันเนื่องมาจากภาวะสงครามในยุโรป รัฐบาลก่อนได้ชะลอการปรับค่า Ft ไว้เพื่อไม่ให้ค่าไฟฟ้าที่จะเก็บจากประชาชนเพิ่มขึ้นในจำนวนสูงเกินไป โดยให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รับภาระราคาก๊าซ LNG ที่เพิ่มสูงขึ้นไว้ก่อนแล้วจึงจะค่อยทยอยผ่อนคืน กฟผ. โดยการขึ้นค่า Ft ทีละนิดในงวดถัดไป ณ สิ้นเดือน ส.ค.66 หนี้ค่า Ft ที่ กฟผ.แบกรับไว้มียอดค้างอยู่ 110,000 ล้านบาท พอรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาเป็นจังหวะที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ) จะต้องอนุมัติปรับค่าไฟฟ้า ซึ่งตั้งใจจะปรับลดจากงวดก่อนจากหน่วยละ 4.70 บาท เป็นหน่วยละ 4.45 บาท (งวดเดือน ก.ย.-ธ.ค.66) เพื่อให้พอมีเงินเข้ามาช่วยลดภาระหนี้ที่ กฟผ.แบกรับไว้ลงบ้าง แต่รัฐบาลใหม่กลับประกาศกดราคาค่าไฟฟ้าลงไปอีกเหลือหน่วยละ 3.99 บาท ส่งผลให้ กฟผ.ต้องแบกรับหนี้เพิ่มขึ้นเป็น 137,000 ล้านบาท ณ สิ้นเดือน ธ.ค.66

“หากปล่อยไปเช่นนี้ ในที่สุดก็คงจะต้องนำเงินภาษีของประชาชนไปล้างหนี้จำนวนนี้ให้ กฟผ. เพื่อให้ กฟผ.ดำเนินกิจการต่อไปได้ รัฐบาลที่ดีย่อมจะต้องตระหนักว่า มีภาระหน้าที่ที่จะต้องดูแลไม่ให้มีการหมักหมมปัญหา และหมกหนี้ไว้ที่หน่วยงานของรัฐ และตั้งใจหามาตรการที่จะทยอยลดหนี้ได้ตั้งแต่ที่ปัญหายังไม่หนักเกินไป ก็จะสามารถสะสางปัญหาให้จบลงด้วยดีได้ โดยไม่ต้องรบกวนภาษีของประชาชน” ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว

*แนะปรับสูตรราคาน้ำมันอ้างอิงหน้าโรงกลั่นให้สะท้อนต้นทุน

กรณีรัฐบาลไทยในอดีตวางแผนให้มีการผลิตน้ำมันคุณภาพสูงขึ้นเป็นมาตรฐาน Euro 5 โดยได้มีการขอความร่วมมือและจูงใจให้โรงกลั่นในประเทศทั้ง 6 โรง ลงทุนก่อสร้างและติดตั้งอุปกรณ์ปรับกระบวนการผลิตให้ได้น้ำมันคุณภาพ Euro 5 ซึ่งใช้เงินลงทุนไปจำนวนมากหลายหมื่นล้านบาท ขณะที่กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ดำเนินการออกมาตรฐานรถยนต์ใหม่ให้รองรับคุณภาพน้ำมันใหม่ และกระทรวงพลังงานได้ดำเนินการออกมาตรฐานบังคับใช้คุณภาพน้ำมันที่ลดกำมะถันลงให้เหลือไม่เกิน 10 ppm กับลดค่า NOx และฝุ่น PM ลงให้ไม่เกิน 8% ภายใน 5 ปี โดยให้มีผลบังคับตั้งแต่ 1 ม.ค.67 โดยเป็นที่เข้าใจกันว่า กระทรวงพลังงานจะปรับสูตรสำหรับคิดราคาน้ำมันอ้างอิงที่หน้าโรงกลั่นให้สะท้อนถึงต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุน เพื่อให้มีความสามารถในการผลิตน้ำมันที่มีคุณภาพสูงขึ้นเป็นระดับ Euros

ปรากฏว่าจนถึงบัดนี้ กระทรวงพลังงานได้ประกาศให้ใช้น้ำมันระดับ Euro5 แล้ว แต่ยังนิ่งเฉยไม่แสดงท่าทียอมรับคุณภาพน้ำมันสะอาดใหม่ โดยไม่พิจารณาปรับราคาอ้างอิงหน้าโรงกลั่นของเบนซิน แก๊สโซฮอล์ และดีเซล จนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ต้องออกมาเรียกร้องขอให้ปรับสูตรราคาอ้างอิงดังกล่าว

“หากรัฐบาลเพิกเฉยไม่ทำอันใด ในที่สุดผู้ค้าน้ำมันก็คงจะไม่ยอมรับในราคาอ้างอิงในแบบเดิมๆ ที่รัฐกำหนดและเลือกใช้วิธีกำหนดราคาขายหน้าปั๊มเอง ซึ่งอาจมีผลเสียต่อผู้บริโภคมากกว่า และโรงกลั่นก็จะไม่ยอมลงทุนอะไรไปก่อนอีก ตามที่รัฐขอความร่วมมือในอนาคต นโยบายของรัฐในสายตาของนักลงทุน ก็จะขาดความน่าเชื่อถือ และเสื่อมถอยลงด้วย” ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว

*นโยบายน้ำมันสวนทาง EV

รัฐบาลในอดีตและปัจจุบันมีนโยบายที่จะกระตุ้นให้คนหันมาใช้รถไฟฟ้าสาธารณะหรือใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เป็นพาหนะส่วนตัวเพื่อช่วยบรรเทาปัญหาควันพิษในอากาศลง แต่การลดราคาน้ำมันทุกชนิดให้ต่ำลง ย่อมเป็นการกระตุ้นให้มีการใช้รถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงอย่างฟุ่มเฟือย และก่อให้เกิดควันพิษมากขึ้น

“นโยบายที่ขัดหรือย้อนแย้งกับเรื่องการดูแลคุณภาพอากาศ และพลังงานสะอาดอย่างชัดเจน ทำให้ไม่แน่ใจว่ารัฐบาลนี้มีความตั้งใจที่จะลดปัญหาควันพิษในอากาศเพื่อคุณภาพ ชีวิตที่ดีของประชาชน กับจะส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) จริงหรือไม่” ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว

*แนะกลับไปใช้สูตรคำนวณราคา Pool Gas ตามเดิม

ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.67 กระทรวงพลังงานใช้กลเม็ดการคำนวณหาต้นทุนที่ต่ำลง สำหรับก๊าซใน Pool Gas ที่ใช้สำหรับผลิตไฟฟ้า โดยมิได้เป็นการจัดหาและนำก๊าซต้นทุนต่ำมาเพิ่มเติมใน Pool Gas กล่าวคือ กระทรวงพลังงานปรับสูตรการคำนวณราคาก๊าซธรรมชาติใน Pool Gas ใหม่ โดยนำราคาก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทย (ราคาต่ำกว่าราคาก๊าซจากเมียนมา และก๊าซ LNG) ส่วนที่เคยส่งเป็นวัตถุดิบไปเข้าโรงแยกก๊าซเพื่อผลิตอีเทนและโพรเพน ป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรมปิโตรเคมี เอามารวมคำนวณเป็นราคาใน Pool Gas เพื่อให้ได้ราคาเฉลี่ยสำหรับการผลิตไฟฟ้าที่ต่ำลง

ผลที่ตามมาคือ ราคาของก๊าซส่วนที่แยกไปใช้ผลิตเป็นวัตถุดิบในโรงแยกก๊าซ (GSP) เพิ่มสูงขึ้นทันที อันส่งผลต่อการทำผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง และทำให้ต้นทุนวัตถุดิบของปิโตรเคมีทั้งระบบเพิ่มขึ้น ซึ่งจะกระทบความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี และห่วงโซ่อุตสาหกรรมต่อเนื่องจากต้นน้ำถึงปลายน้ำด้วย

ขณะที่ กกพ. มีอำนาจเพียงกำหนดอัตราค่าบริการก๊าซธรรมชาติ เฉพาะก๊าซธรรมชาติที่ใช้เป็นพลังงานเท่านั้น มิได้มีอำนาจกำหนดราคาก๊าซที่ใช้เป็นวัตถุดิบ นโยบายที่มอบให้ กกพ.จึงสุ่มเสี่ยงที่จะใช้อำนาจเกินขอบเขตของกฎหมายด้วย

เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ประเทศไทยใช้เวลามากกว่า 30 ปีในการสร้างเครือข่ายอุตสาหกรรมปิโตรเคมี และอุตสาหกรรมต่อเนื่องอาทิ พลาสติก สิ่งทอ และอะไหล่รถยนต์หลายพันกิจการ ก่อให้เกิดนิคมอุตสาหกรรมระดับโลกขึ้นที่มาบตาพุด จ.ระยอง และความโชติช่วงชัชวาลขึ้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก และช่วยทำให้ GDP และการส่งออกของไทยเติบโตอย่างต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งในปี 2564 เฉพาะกลุ่มปิโตรเคมี และกลุ่มแปรรูปพลาสติก มียอดขายรวมถึง 1,720,000 ล้านบาท หรือ 10.7% ของรายได้ประชาชาติของไทย มีการจ้างงานรวมกว่า 400,000 คน ต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นมากทันที 30-40% เพราะการกำหนดสูตรราคาก๊าซใหม่นี้ จะกระทบอย่างรุนแรงต่อความอยู่รอดของอุตสาหกรรมเหล่านี้อย่างแน่นอน หากปล่อยไว้นานเกินไป จะกระทบถึงฐานะของกิจการจนต้องทยอยปิดลง กระทบต่อเศรษฐกิจและการจ้าง

“ผมเชื่อว่ารัฐบาลนี้ ไม่มีเจตนาที่จะให้เกิดผลเสียในลักษณะดังกล่าว และยังไม่สายเกินไปที่จะแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ โดยการกลับไปใช้สูตรการคำนวณราคาก๊าซธรรมชาติที่ใช้อยู่เดิม” ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (01 มี.ค. 67)

Tags: , , , ,
Back to Top