วงเสวนา แนะไทยเร่งปรับโครงสร้างส่งออก รับมือปัจจัยเสี่ยงภายนอก

สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) จัดเวทีเสวนาในหัวข้อ “Reshaping Export: How to Thrive in Economic Turmoil?” และหัวข้อ “Shaping Thailand’s Sustainable Future: Thai to Global Value Creation” เมื่อวันที่ 28 มี.ค. ที่ผ่านมา

โดยมีม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง, นายณรงค์ชัย อัครเศรณี อดีต รมว.พลังงาน, นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ อดีต รมว.คมนาคม และ รมว.คลัง, นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ วุฒิสมาชิกและ อดีต รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา , นายกีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ และ นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เข้าร่วม

สรท. คาดว่า การส่งออกของประเทศไทยยังคงเติบโตในอนาคต แต่ต้องมีการปรับตัวให้เร็วเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยภายนอกและการแข่งขันมาก ดังนั้น สรท. คงคาดการณ์เป้าหมายการทำงานด้านการส่งออกรวมทั้งปี 2567 เติบโตที่ 1-2% (ณ เดือนมี.ค.67)

โดยวงเสวนาได้ให้ข้อเสนอแนะแนวทางการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการส่งออกของไทยในอนาคต เพื่อรับมือกับปัจจัยเสี่ยงต่างๆ อาทิ ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics), ปัญหาโลกเดือด (Global Boiling), มาตรการกีดกันทางการค้าและอุปสรรคทางการค้าที่มิใช่ภาษี (Non-Tariff Measure and Non-Tariff Barrier) และบทบาทของประเทศผู้ผลิตเพื่อการส่งออกรายใหญ่ ที่มีข้อได้เปรียบเรื่องของต้นทุนการผลิตที่ต่ำและกดดันราคาในตลาดโลกให้แข่งขันได้ยากมากขึ้น รวมถึงทิศทางการย้ายฐานการผลิตเพื่อหลีกเลี่ยงสงครามการค้า และการสร้างพันธมิตรในระดับภูมิภาคเพื่อสร้างความมั่นคงและแต้มต่อในห่วงโซ่การผลิต ประกอบด้วย

1) ปรับรูปแบบการค้าให้เน้นย้ำถึงหลัก QCD+S (Quality, Cost, Delivery, Sustainability) ผู้ผลิตต้องให้ความสำคัญกับคุณภาพสินค้าและบริการ การควบคุมต้นทุนการผลิตเพื่อสร้างแต้มต่อ การจัดส่งสินค้าที่ตรงตามเวลา และการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนที่ไม่เพียงแต่คำนึงถึงผลตอบแทนหรือกำไรทางธุรกิจ แต่ยังคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และคุณภาพชีวิตของประชาชนเป็นสำคัญ

2) Green Industry and Human Rights กระบวนการผลิตต้องเน้นย้ำในเรื่องของ

2.1) การใช้พลังงานสะอาดหรือพลังงานทดแทน

2.2) พัฒนาระบบ Lean and Green ที่ใช้ทรัพยากรน้อยที่สุดเพื่อให้แข่งขันกับประเทศคู่แข่งได้ โดยต้องดำเนินการตลอดซัพพลายเชนของการส่งออก สามารถตรวจสอบได้ (Traceability) ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องคำนึงถึงเรื่องสิทธิมนุษยชนและแรงงานอย่างยั่งยืน

3) มาตรการส่งเสริมการลงทุน (Investment Promotion) ได้แก่

3.1) เร่งปรับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ อาทิ ระบบสาธารณูปโภค (ด้านน้ำประปา บำบัดน้ำเสีย ไฟฟ้า กำจัดขยะ) ระบบขนส่ง (ถนน ทางรถไฟ ท่าเรือ ท่าอากาศยาน ทางท่อ) และระบบการสื่อสาร (เครือข่ายโทรศัพท์ สัญญาณอินเตอร์เน็ต) รวมถึงการให้สิทธิประโยชน์ที่ตรงจุด เพื่อดึงดูดนักลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศและผลักดันการส่งออกสินค้าที่มีมูลค่าสูงขึ้น

3.2) ส่งเสริมเขตเศรษฐกิจพิเศษเดิม อาทิ EEC พร้อมปรับปรุงสร้างสิทธิประโยชน์ด้าน Innovation และ Sustainability เพื่อตอบโจทย์ตามทิศทางการค้าโลกที่เปลี่ยนผ่านไปสู่ความยั่งยืน

4) ผลักการเจรจาการค้าเสรีกับประเทศคู่ค้าสำคัญ โดยมุ่งเน้นประเทศกำลังพัฒนา (Emerging Market) ที่มีศักยภาพ และเจาะตลาดกลุ่มประเทศขนาดใหญ่ให้มากขึ้น

5) สร้างบุคลากรรุ่นใหม่ให้มีทักษะสอดคล้องกับอุตสาหกรรมใหม่ และมีไอเดียสร้างสรรค์นวัตกรรมทางการค้า เพื่อส่งเสริมการส่งออกที่มีคุณภาพ ดึงดูดการลงทุน และก่อเกิดการจ้างงานเพิ่มมากขึ้นในอนาคต

6) ยกระดับสร้างขีดความสามารถในการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสำหรับส่งออก เนื่องจากดัชนี Global Value Chain Participation Rate ของประเทศไทยเท่ากับ 52% ยังอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่น เช่น มาเลเซีย 68% และเกาหลีใต้ 63% รวมถึงต้องเร่งยกระดับให้ครอบคลุมถึงผู้ประกอบการระดับ SMEs ไปพร้อมกัน

7) ยกระดับการทำงานร่วมกันของภาครัฐและเอกชน เพื่อให้สามารถปรับเปลี่ยนจากการแข่งขันด้วย Economy of Scale เป็น Economy of Speed ตามทิศทางในปัจจุบันที่ต้องเน้นการทำงานที่รวดเร็ว โดยลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ เร่งพัฒนาบุคลากรภาครัฐรุ่นใหม่ที่มีความคิดสร้างสรรค์ และทำงานเชิงลึกร่วมกันมากขึ้น เพื่อให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจการส่งออกมีจุดยืนที่โดดเด่นบนเวทีโลกได้อย่างยั่งยืน

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (01 เม.ย. 67)

Tags: , , , , , ,
Back to Top