OR ส่ง “โอ้กะจู๋’ ยื่นไฟลิ่งขาย IPO 159 ล้านหุ้น เข้า SET จ่อเปิดแบรนด์ใหม่ Ohkajhu Wrap & Roll-Oh Juice

บมจ. ปลูกผักเพราะรักแม่ (OKJ) ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือขี้ชวน (Filing) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 159 ล้านหุ้น และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยมี บล. บัวหลวง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

วัตถุประสงค์การใช้เงินจากการระดมทุน 1. ขยายธุรกิจไม่จำกัดเพียงการขยายสาขาร้านโอ้กะจู๋ การขยายสาขาสำหรับธุรกิจหรือแบรนด์ใหม่ๆ การปรับปรุงสาขา และขยายช่องทางการจำหน่าย 2. ลงทุนสร้างครัวกลางแห่งใหม่ และพัฒนาเครื่องจักร อุปกรณ์ และเทคโนโลยีสารสนเทศต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ระบบการบริหารจัดการวัตถุดิบสินค้าคงเหลือ ระบบขนส่ง และสำนักงาน เป็นต้น 3. ลงทุนและพัฒนาเครื่องจักร อุปกรณ์ และระบบสาธารณูปโภคเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเพาะปลูก รวมถึงการสร้างสถานที่ตรวจสอบคุณภาพผลผลิต (In-house lab) เป็นต้น 4. ลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน และต่อยอดธุรกิจอย่างยั่งยืน รวมถึงการลงทุนในธุรกิจใหม่ การร่วมลงทุน การซื้อธุรกิจ การควบรวมกิจการ เป็นต้น และ 5. ชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน

OKJ เป็นผู้ประกอบธุรกิจให้บริการและจำหน่ายอาหาร เครืองดื่มและผลิตภัณฑ์เพือสุขภาพภายใต้คอนเซ็ปท์ “Be Organic from Farm to Table” รวมถึงบริการด้านอาหารและเครืองดื่มอื่นๆ โดยเน้นการปลูกผัก ผลไม้ แบบเกษตรอินทรีย์ (Organic) และนำเสนออาหารและเครื่องดื่มจากวัตถุดิบหลักที่เป็นอินทรีย์ที่มีคุณภาพ เพื่อให้ลูกค้าของบริษัทฯ มีสุขภาพแข็งแรง

ธุรกิจของบริษัทฯ สามารถแบ่งได้ 3 ประเภทหลัก

  1. ธุรกิจบริการและจำหน่ายอาหาร ภายใต้แบรนด์ “โอ้กะจู๋” จำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพประเภทต่างๆ เช่น สลัด สเต็ก ซุป สปาเก็ตตี้ อาหารจานเดียว ขนมหวาน นำผักผลไม้ เบเกอรี่ ขนมขบเคี้ยว เป็นต้น รวมถึงนำผลิตภัณฑ์ภายใต้ แบรนด์โอ้กะจู๋ เช่น ผัก ผลไม้สด แซนวิช แร็พ เป็นต้น ไปวางขายยังช่องทางต่างๆ รวมถึงการให้บริการจัดเลี้ยง (Catering) โดยธุรกิจบริการและจำหน่ายของบริษัทฯ สามารถแบ่งรูปแบบและช่องทางการจำหน่ายได้เปน 4 ช่องทางหลัก ได้แก่ (1) Full-service Restaurant (2) Delivery and Kiosk (3) Cafe Amazon และ (4) Supermarket
    • Full-service Restaurant: ร้านอาหารทีให้บริการเต็มรูปแบบ เน้นการให้บริการและจำหน่ายอาหารมื้อหลักปรุงสดใหม่ รวมถึงการบริการแบบ Drive Thru การให้บริการจัดทำอาหารว่าง (Snack box) และการสั่งอาหารในช่องทางออนไลน์ ผ่าน Food delivery platform ต่างๆ ปัจจุบันมี 30 สาขา ในเชียงใหม่ กรุงเทพฯ และปริมณฑล ระยอง และชลบุรี
    • Delivery and Kiosk: ร้านจำหน่ายอาหารเพือสุขภาพ เน้นการขายในรูปแบบ Delivery และ Grab & Go รวมถึงช่องทางออนไลน์ ผ่าน Food delivery platform ต่างๆ ปัจจุบันมี 4 สาขาในกรุงเทพฯ
    • Cafe Amazon: บริษัทฯ จำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารว่างและอาหารเพือสุขภาพต่างๆ เช่น แซนวิช สลัดผัก แร็พสลัด เป็นต้น ในร้าน Cafe Amazon ปจจุบันมีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ในร้าน Cafe Amazon ประมาณ 300 สาขา ในกรุงเทพฯ ปริมณฑล จังหวัดอื่นๆ ในภาคกลาง และภาคตะวันออก
    • Supermarket: บริษัทฯ จำหน่ายผลผลิตของบริษัทฯ เช่น ผัก ผลไม้ สลัดพร้อมทาน เป็นต้น ในร้านซุปเปอร์มาร์เก็ต ปัจจุบันมีการจำหน่ายในร้านซุปเปอร์มาร์เก็ต 9 สาขา ในเชียงใหม่ และกรุงเทพฯ

2. ธุรกิจร้านอาหารประเภทจานด่วน (Quick Service Restaurant: QSR) ภายใต้แบรนด์ “Ohkajhu Wrap & Roll”: บริษัทอยู่ระหว่างการเริมประกอบธุรกิจร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประเภท สลัด แร๊พสลัด แซนวิช เบอร์เกอร์ และเมนูสุขภาพพร้อมหยิบ (Grab & Go) ภายใต้ชือ “Ohkajhu Wrap & Roll” ซึ่งเป็นการต่อยอดเมนูที่จำหน่ายในร้านโอ้กะจู๋ มาพัฒนาให้ตอบโจทย์ชีวิตเร่งรีบที่ต้องการรับประทานอาหารสะดวกรวดเร็วและดีต่อสุขภาพ คาดว่าจะเริ่มเปิดดำเนินการสาขาแรกในไตรมาส 2/67

3. ธุรกิจร้านน้ำผักผลไม้เพื่อสุขภาพ ภายใต้แบรนด์ “Oh Juice”: เป็นการต่อยอดเมนูนาผักออร์แกนิคและผลไม้ทีจำหน่ายในร้านโอ้กะจู๋ มาพัฒนาสูตรเพิ่มเติ่มให้เป็นเมนูเน้นสุขภาพในด้านต่างๆและเสริมคุณค่าทางโภชนาการด้วยสารอาหารต่างๆ ที่ร่างกายต้องการ โดยบริษัทฯมุ่งมันทีจะสร้างเครืองดืมทีเต็มไปด้วยสารอาหาร (Nutrition) เหมาะสำหรับคนทุกวัยเด็ก วัยรุ่น ผู้สูงอายุ คนออกกำลังกายให้ผู้คนมีชีวิตทีดีและมีสุขภาพแข็งแรง คาดว่าจะเริ่มเปิดดำเนินการสาขาแรกในช่วงไตรมาส 2/67

นายชลากร เอกชัยพัฒนกุล (อู๋) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร OKJ เปิดเผยว่า บริษัทเป็นผู้ประกอบธุรกิจให้บริการและจำหน่ายอาหาร เครื่องดื่มและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ภายใต้คอนเซ็ปต์ Be Organic from Farm to Table เริ่มต้นทำธุรกิจจากแรงบันดาลใจ (Passion) ร่วมกับนายจิรายุทธ ภูวพูนผล (โจ้) และนายวรเดช สุชัยบุญศิริ (ต้อง) ซึ่งเป็นเพื่อนผู้ร่วมก่อตั้งที่ต้องการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคจากการปลูกผักสวนครัวทั่วไปและผักสลัดบางชนิดเพื่อรับประทานในครอบครัว ภายใต้สโลแกน “ปลูกผักเพราะรักแม่” ก่อนต่อยอดไปสู่การดำเนินธุรกิจเพาะปลูกผักแบบเกษตรอินทรีย์ เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ปลอดสารพิษและสารเคมีตกค้าง

ทั้งนี้ บริษัทยึดมั่นอุดมการณ์หลักที่จะปลูกผักแบบเกษตรอินทรีย์ วิถีธรรมชาติ โดยการออกแบบและจัดการฟาร์มที่ไม่พึ่งพาสารเคมีใด ๆ พร้อมคำนึงถึงผืนดิน ผลผลิต ระบบนิเวศ ครอบครัวและชุมชน ผ่านการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิค 100% เพื่อให้ทุกคนได้รับประทานอาหารที่ปลอดสารพิษและดีต่อสุขภาพ และจับมือกับพันธมิตร บมจ. ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก (OR) โดยการเข้ามาถือหุ้น 20% ช่วยให้บริษัทฯ สามารถสร้างโอกาสการเติบโตและก้าวไปอีกขั้น พร้อมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ในปี 56 บริษัทฯ ได้เปิดบริการร้านอาหารเพื่อสุขภาพสาขาแรกที่อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้แบรนด์ โอ้กะจู๋ ซึ่งมาจากชื่อของ นายชลากร (อู๋) ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการตลาด การบริหารธุรกิจ รวมถึงมีความชื่นชอบในการทำอาหาร และนายจิรายุทธ (โจ้) ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการเกษตร และกระบวนการเกษตรอินทรีย์แบบบูรณาการ รวมถึงนายวรเดช (ต้อง) ที่มีความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรม นำความรู้ด้านเครื่องจักรทางการเกษตร การสร้างโรงเรือน และวิธีการผลิตปุ๋ยอินทรีย์มาพัฒนา ให้สามารถสร้างผลผลิตได้ในปริมาณที่มากขึ้น และมีประสิทธิภาพสูงขึ้น

ผู้ร่วมก่อตั้งทั้ง 3 ใช้ความเชี่ยวชาญที่หลากหลาย มาผสมผสานและร่วมกันสร้างธุรกิจตั้งแต่เริ่มต้น ขยายธุรกิจให้เติบโต ปรับตัวผ่านวิกฤตต่าง ๆ และยังคงมุ่งมั่นพัฒนาบริษัทฯ อย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน รวมถึงมีวิสัยทัศน์ที่จะผลักดันให้บริษัทฯ เติบโตอย่างยั่งยืน

“เรายึดมั่นในวิถีเกษตรอินทรีย์มาตลอดโดยไม่ได้ทำตามกระแส และสามารถสร้างการเติบโตอย่างมั่นคง โดยพัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่งและใช้ชีวิตตามวิถียั่งยืน พร้อมสนับสนุนชุมชน ครอบครัว เกษตรกร พนักงานและลูกค้า ให้มีชีวิตที่ยืนยาว สุขภาพดี มีความสุขร่วมกันอย่างยาวนาน ซึ่งได้ถูกปลูกฝังในทุกสิ่งที่บริษัทฯ ทำ เพื่อสร้างการเติบโตและเป็นกำลังสำคัญที่ทำให้โลกนี้ยั่งยืนมากขึ้น” นายชลากร กล่าว

โครงสร้างผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 21 มี.ค.67 มีครอบครัวเอกชัยพัฒนกุล ถือหุ้น 208,800,000 หุ้น คิดเป็น 46.40% หลัง IPO จะลดเหลือ 190,356,000 หุ้น หรือคิดเป็น 31.26% นายจิรายุทธ ภูวพูนผล ถือหุ้น 100,800,000 หุ้น คิดเป็น 22.40% หลัง IPO จะลดเหลือ 93,394,000 หุ้น คิดเป็น 15.34% ส่วนครอบครัวสุชัยบุญศิริ ถือหุ้น 50,400,000 หุ้น คิดเป็น 11.20% หลัง IPO จะลดเหลือ 44,450,000 หุ้น คิดเป็น 7.30%

ส่วน บริษัท มอดูลัส เวนเจอร์ จำกัด (Modulus) บริษัทย่อยที่ OR ถือหุ้นทางอ้อมผ่านบริษัท พีทีที โออาร์ โฮลดิงส์ จำกัด ในสัดส่วนร้อยละ 100.0% ถือหุ้นใน OKJ จำนวน 90,000,000 หุ้น คิดเป็น 20.00% หลัง IPO จะถือเพิ่มเป็น 121,800,000 หุ้น คิดเป็น 20.00%

นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บล.บัวหลวง กล่าวว่า ผู้ถือหุ้นหลัก 3 ราย ได้แก่ 1) นายชลากร 2) นายจิรายุทธ และ 3) นายวรเดช และ Modulus ได้ทำหนังสือแสดงเจตจำนงแบบไม่มีภาระผูกพันตามกฎหมาย (Non-binding letter) โดย Modulus จะซื้อหุ้นสามัญเดิมจากผู้ร่วมก่อตั้งรวม 31,800,000 หุ้น คิดเป็น 5.2% ของจำนวนหุ้นหลัง IPO ในราคาเดียวกับราคาเสนอขายหุ้น IPO ในวันแรกที่หุ้น OKJ เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ โดยจะทำรายการบนกระดานรายใหญ่ (Big Lot Board) เพื่อคงสัดส่วนการถือหุ้นของ Modulus ไว้

ผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงปี 64-66 บริษัทมีรายได้ 803.02 ล้านบาท 1,214.91 ล้านบาท และ 1,716.85 ล้านบาท ตามลำดับ และมีกำไรสุทธิ -84.55 ล้านบาท 38.32 ล้านบาท และ 140.65 ล้านบาท ตามลำดับ ณ วันที่ 31 ธ.ค.66 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 1,349.93 ล้านบาท หนี้สินรวม 772.01 ล้านบาท และส่วนผู้ถือหุ้นรวม 577.92 ล้านบาท

บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิจากงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทฯ ภายหลังจากหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและการจัดสรรทุนสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามทีได้กำหนดไว้ในกฎหมายและข้อบังคับของบริษัทฯ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (02 เม.ย. 67)

Tags: , , ,
Back to Top