หุ้นสตาร์บัคส์ร่วงต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ปี เหตุดีมานด์ในจีน-สหรัฐอ่อนแอ

ราคาหุ้นของสตาร์บัคส์ร่วงลงถึง 15% เมื่อวานนี้ (1 พ.ค.) สู่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ปี หลังจากที่บริษัทฯ ปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการประจำปี เนื่องจากความต้องการสินค้าที่อ่อนแออย่างต่อเนื่องจากลูกค้าชาวอเมริกันที่เผชิญกับภาวะเงินเฟ้อ และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของจีนที่ช้าเกินคาด

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ราคาสินค้าที่ปรับตัวขึ้นในปีที่แล้วทำให้ลูกค้าหันไปชงกาแฟดื่มเองที่บ้านแทนที่จะไปร้านกาแฟและร้านอาหาร ส่งผลกระทบต่อธุรกิจอย่างสตาร์บัคส์ ซึ่งรายงานยอดขายจากสาขาเดิมลดลงเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 3 ปี

นายดานิโล การ์จูโล นักวิเคราะห์อาวุโสจากเบิร์นสไตน์ระบุในบันทึกว่า “จำนวนลูกค้าที่เดินเข้าร้านลดลงต่อเนื่องตั้งแต่มีสัญญาณเริ่มแรกในเดือนพ.ย.จนถึงปัจจุบัน ตลอดจนเศรษฐกิจมหภาคและพลวัตการแข่งขันในจีนที่เลวร้ายลงอาจบ่งบอกถึงความท้าทายที่ยืดเยื้อยาวนาน และไม่มีหลักฐานบ่งชี้ว่าจะมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์”

ด้านธนาคารดอยซ์แบงก์ปรับลดอันดับความน่าลงทุนของสตาร์บัคส์ จาก “ซื้อ” เป็น “ถือ” ขณะที่โบรกเกอร์อย่างน้อย 12 แห่ง ปรับลดราคาเป้าหมายของหุ้นสตาร์บัคส์ลง

ปัจจุบัน สตาร์บัคส์คาดการณ์ว่ายอดขายเปรียบเทียบทั้งปีจะลดลงเป็นหลักหน่วยต้น ๆ หรือทรงตัว ทั้งในระดับโลกและในสหรัฐ จากเดิมที่คาดการณ์ว่าจะเติบโต 4% ถึง 6% นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังปรับลดคาดการณ์การเติบโตของกำไรต่อหุ้นลงสู่ระดับทรงตัวจนถึงโตในระดับหลักหน่วยต้น ๆ จากเดิมที่คาดการณ์ว่าจะเติบโต 15% ถึง 20%

นายลักษมัน นรสีหาญ ซีอีโอของสตาร์บัคส์กล่าวในการประชุมหลังประกาศผลกำไรว่า “ลูกค้าหลายรายมีความระมัดระวังมากขึ้นว่าจะเลือกใช้จ่ายเงินที่ไหนและอย่างไร โดยเฉพาะหลังจากที่เงินออมจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจถูกใช้ไปเกือบหมดแล้ว”

“เราสังเกตเห็นเรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงไตรมาสนี้ เมื่อลูกค้าตัดสินใจเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่างการกินนอกบ้านกับการกินที่บ้าน”

นายนรสีหาญกล่าวเสริม

ด้านนักวิเคราะห์หลายรายจากเจฟฟรีส์ไม่เชื่อมั่นในแผนการเปิดตัวสินค้าใหม่ของสตาร์บัคส์ในปีนี้ และคิดว่าควรกลับไปเน้นเมนูหลัก ราคา โปรโมชั่น และโปรแกรมคะแนนสะสมสำหรับสมาชิก จะเป็นผลดีต่อสตาร์บัคส์มากกว่า

ทั้งนี้ อัตราส่วน Forward P/E ratio ของสตาร์บัคส์อยู่ที่ 20.88 ใกล้เคียงกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมอย่างแมคโดนัลด์ (21.54) และเรสเทอรองตส์ แบรนด์ส (20.83)

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (02 พ.ค. 67)

Tags: ,
Back to Top