
นายชาญวิทย์ เขียวนาวาวงศ์ษา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.สกิน ลาบอราทอรี่ [SKIN] เปิดแผนกลยุทธ์ทางการตลาด เดินหน้าเชิงรุกปี 68 ผลักดันการเติบโตธุรกิจสกินแคร์และเครื่องสำอางในตลาดไทย มุ่งเน้นการพัฒนาสินค้า การสร้างแบรนด์ และขยายช่องทางจัดจำหน่าย พร้อมยกระดับแบรนด์ไทยสู่สากล ตั้งเป้าเติบโต 2 เท่าใน 3 ปี
SKIN เป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ด้านความงามแบรนด์ไทยที่เข้าใจผู้บริโภคยุคใหม่ 1) ผลิตภัณฑ์เซรั่มบำรุงผิวหน้า 2) ผลิตภัณฑ์ครีมกันแดด 3) ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า 4) ผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวหน้า และ 5) ผลิตภัณฑ์อื่นๆ ได้แก่ สเปรย์ฉีดลดสิวตามร่างกาย โดยมีแผนเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ไม่เกิน 44,000,000 หุ้น และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยมี บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
นายชาญวิทย์ กล่าวว่า ปัจจุบันตลาดผลิตภัณฑ์ด้านความงามในประเทศไทย ยังสามารถเติบโตได้ในเกณฑ์ดีจากข้อมูลของ Euromonitor ประเทศไทยมีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 150,000 ล้านบาท แบ่งออกเป็นสองส่วน คือ สกินแคร์ 120,000 ล้านบาท และเครื่องสำอาง 30,000 ล้านบาท เติบโตขึ้นราว 12% ทั้งในส่วนของสกินแคร์และเครื่องสำอาง เนื่องจากผู้บริโภคให้ความนิยมผลิตภัณฑ์แบรนด์ไทย กลุ่มที่มีคุณภาพเทียบเท่าแบรนด์ต่างประเทศมากขึ้น
ขณะเดียวกันพฤติกรรมของผู้บริโภคยังมีการเปลี่ยนแปลง โดยเน้นการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติหลากหลาย มีความคุ้มค่าด้านราคา เข้าถึงง่าย อีกทั้งการให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพ ผิวพรรณ ของกลุ่มผู้บริโภค เริ่มต้นในช่วงอายุที่เด็กลง
จากปัจจัยดังกล่าว SKIN มุ่งพัฒนาและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สกินแคร์และเครื่องสำอางภายใต้ 2 แบรนด์หลัก คือ SKINSISTA ซึ่งเจาะกลุ่มผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพผิว โดยมีเป้าหมายหลัก คือ กลุ่มผู้บริโภคอายุตั้งแต่ 18-30 ปี ที่มีปัญหาสิว หรือริ้วรอย ผ่านช่องทางจัดจำหน่ายที่หลากหลายทั้ง Offline อาทิ Watsons, CJ MORE NINE BEAUTY, 7-11, Beautrium และ Konvy และ Online อาทิ Shopee, Lazada และ Tiktok shop นอกจากนี้ทางบริษัทยังเตรียมเปิดตัวแบรนด์ใหม่ภายใต้ชื่อ Dermie ซึ่งเจาะกลุ่มผู้บริโภคที่มีปัญหาผิวแพ้ง่ายโดยเฉพาะ
โดยมี 5 กลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ เซรั่ม, ครีมกันแดด, ครีมบำรุงผิวหน้า, ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ซึ่งบริษัทมีแผนจะขยายช่องทางการจัดจำหน่ายเพิ่มเติมอีกไม่ต่ำกว่า 50 จุดภายในปีนี้ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์แก่กลุ่มลูกค้า โดยตั้งเป้ารายได้เติบโต 2 เท่าในอีก 3 ปี ข้างหน้า ผ่านการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ จำนวน 7 SKU ในหลากหลายกลุ่มผลิตภัณฑ์
บริษัทมีแผนผลักดันเป้าหมายการเติบโต ผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก ประกอบด้วย
- เข้าใจลูกค้าให้ลึกกว่าคู่แข่ง ด้วยการใช้ข้อมูลจริงจากลูกค้า อาทิ รีวิว และกระแสตอบรับจากช่องทางโซเชียลมีเดีย เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่แค่ตอบโจทย์เรื่องผิว แต่เข้าใจสภาพจิตใจและอารมณ์ของคนที่มีปัญหาเรื่องสิว
- พัฒนาสินค้าที่ได้ผลจริง ไม่พูดเกินจริง ผ่านผลิตภัณฑ์ทุกสูตรที่ถูกพัฒนา โดยยึดจากผลลัพธ์ที่จับต้องได้ สรรพคุณไม่เกินจริง และต้องผ่านการทดสอบกับผู้ใช้จริงก่อนวางจำหน่าย
- สร้างความผูกพันมากกว่าความจำเป็น แบรนด์ Skinsista วางตัวเป็น ‘Sis สาย Support’ ที่ไม่ได้ขายแค่ผลิตภัณฑ์ แต่พร้อมอยู่เคียงข้างผู้ใช้ในวันที่รู้สึกไม่มั่นใจกับผิวหน้าของตัวเอง
นอกจากนี้ SKIN ยังให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์อย่างยั่งยืน ผ่านกลยุทธ์ Beauty Content Marketing และการทำงานร่วมกับ KOL / Influencer ที่ตรงกลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้ที่มีปัญหาผิวทั้งในเรื่องสิว ริ้วรอย หรือผู้ที่ต้องการเครื่องสำอางที่มาพร้อมสรรพคุณด้านการดูแลผิว โดยวางงบการตลาดในปี 2568 คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20% ของรายได้ เพื่อตอบสนองกลยุทธ์การดำเนินงาน
“SKIN มุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่อย่างรอบด้าน ไม่เพียงแต่เน้นคุณภาพของสินค้า แต่ยังให้ความสำคัญกับการสื่อสารแบรนด์อย่างสร้างสรรค์ ภายใต้แนวคิด ‘แบรนด์ที่เข้าใจคนเป็นสิวได้ดีที่สุด’ เพื่อสร้างการจดจำและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริง เราเชื่อว่าศักยภาพของแบรนด์ไทยสามารถแข่งขันในระดับสากลได้ หากได้รับการสนับสนุนที่ดีจากผู้บริโภคในประเทศ และด้วยการเตรียมความพร้อมทั้งด้านคุณภาพสินค้า มาตรฐานการผลิต และกลยุทธ์การตลาดที่แข็งแกร่ง เราเชื่อว่าจะสามารถขยายตลาดในประเทศและระดับสากลในอนาคตได้อย่างแน่นอน” นายชาญวิทย์ กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (16 พ.ค. 68)