ธปท.เผย สินเชื่อแบงก์พาณิชย์ทั้งระบบ Q1/68 หดตัว 1.3% NPL เพิ่มเป็น 2.9%

น.ส.สุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงภาพรวมระบบธนาคารพาณิชย์ไทย ไตรมาส 1 ปี 2568 ว่า ระบบธนาคารพาณิชย์มีความมั่นคงและมีเสถียรภาพ โดยมีเงินกองทุน เงินสำรอง และสภาพคล่องอยู่ในระดับสูง โดยภาพรวมสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ (รวมเครือ) ไตรมาส 1 ปี 2568 หดตัว 1.3% จากระยะเดียวกันปีก่อน โดยหลักจากการชำระคืนหนี้ที่อยู่ในระดับสูง สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ยังขยายตัว ขณะที่สินเชื่อธุรกิจ SMEs และสินเชื่ออุปโภคบริโภคหดตัวต่อเนื่อง ตามความเสี่ยงด้านเครดิตที่ยังอยู่ในระดับสูง

“หากเราดูโฟลว์ของการปล่อยสินเชื่อใหม่ และการชำระหนี้คืน จะพบว่าในไตรมาสที่ 1/68 เทียบกับไตรมาสที่ 4/67 มียอดการปล่อยสินเชื่อใหม่อยู่ที่ 4.4 ล้านล้านบาท แต่มีการชำระหนี้คืนราว 4.39 ล้านล้านบาท โดยเป็นการชำระหนี้คืนของธุรกิจรายใหญ่ ทำให้โฟลว์ไม่สูง มองไปข้างหน้า สินเชื่อก็ยังมีความท้าทายอยู่” น.ส.สุวรรณี ระบุ

ขณะเดียวกัน การส่งผ่านการปรับอัตราดอกของธนาคารพาณิชย์ ตามอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) นั้น มองว่า การลดดอกเบี้ยไม่ได้เป็นการช่วยให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อมากขึ้น เพราะปัจจัยหลักมาจากต้นทุนความเสี่ยงจากการปล่อยสินเชื่อ (Credit Risk) ในการพิจารณาสินเชื่อ แต่การลดดอกเบี้ยจะช่วยลดภาระดอกเบี้ยลูกค้ามากกว่า

อย่างไรก็ดี การส่งผ่านรอบนี้ ถือว่าน้อยกว่าการปรับลดดอกเบี้ยใน 2 รอบก่อนหน้า แต่ก็นับว่าส่งผ่านมากกว่าในปี 2563-2564 ในช่วงโควิด-19 และจะเห็นว่าธนาคารพาณิชย์ไม่ได้ปรับลดดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ในครั้งนี้ด้วย

  • NPL เพิ่มเป็น 2.9%

ทั้งนี้ ยอดคงค้างสินเชื่อ NPL ไตรมาส 1 ปี 2568 ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 548.1 พันล้านบาท ส่งผลให้สัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวมปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.90% โดยหลักจากสินเชื่อ SMEs และสินเชื่อที่อยู่อาศัย ทั้งนี้ สัดส่วน NPL ของสินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อเช่าซื้อที่เพิ่มขึ้น เป็นผลของฐานสินเชื่อที่ลดลง สำหรับสินเชื่อ Stage 2 ปรับลดลง โดยหลักจากการชำระคืนหนี้ของสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ ส่งผลให้สัดส่วน stage 2 ทรงตัวอยู่ที่ 6.97% อย่างไรก็ดี ธนาคารพาณิชย์ยังให้ความช่วยเหลือลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งบริหารจัดการคุณภาพหนี้

  • ห่วงนโยบายการค้า ฉุดความสามารถชำระหนี้ภาคธุรกิจ-ครัวเรือน

สำหรับผลการดำเนินงานปรับดีขึ้นจากไตรมาสก่อน โดยหลักจากค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่ลดลง (ค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่สูง ซึ่งเป็นปัจจัยฤดูกาลในไตรมาสก่อน และค่าใช้จ่ายด้าน IT) และรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย (เงินลงทุนและการวัดมูลค่าตราสารทางการเงิน) ปรับเพิ่มขึ้น ขณะที่รายได้ดอกเบี้ยสุทธิปรับลดลงตามการปรับลดอัตราดอกเบี้ย

“ยังต้องติดตามภาวะการเงินที่ยังตึงตัว และความสามารถในการชำระหนี้ของภาคธุรกิจ และครัวเรือน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่รายได้ฟื้นตัวช้า และมีภาระหนี้สูง รวมถึงธุรกิจและครัวเรือน ที่อาจได้รับแรงกดดันเพิ่มเติมต่อฐานะการเงิน จากผลกระทบของนโยบายการค้าโลก ตลอดจนติดตามผลสำเร็จของการให้ความช่วยเหลือ ภายใต้โครงการคุณสู้เราช่วย” น.ส.สุวรรณี ระบุ

โดยสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ในไตรมาส 4 ปี 2567 ปรับลดลงจากไตรมาสก่อน จากสินเชื่อภาคครัวเรือนที่ขยายตัวชะลอลง ขณะที่ภาคธุรกิจมีสัดส่วนหนี้สินต่อ GDP ลดลงตามการกู้ยืมผ่านตลาดตราสารหนี้เป็นสำคัญ ด้านความสามารถในการทำกำไรโดยรวม ทรงตัวจากระยะเดียวกันปีก่อน แต่ชะลอลงจากไตรมาสก่อนหน้า แม้ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว และภาคการผลิต แต่ภาคก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์เผชิญแรงกดดันจากกำลังซื้อที่อยู่อาศัยที่ชะลอลง

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (20 พ.ค. 68)

Tags: , , , , , ,
Back to Top