
รัฐบาลเวียดนามเปิดเผยว่า เวียดนามและสหรัฐฯ ได้เริ่มการเจรจาการค้ารอบที่ 2 ณ กรุงวอชิงตันแล้วเมื่อวันจันทร์ (19 พ.ค.) และจะดำเนินไปจนถึงวันที่ 22 พ.ค. โดยมีเป้าหมายเพื่อหลีกเลี่ยงการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 46%
กระทรวงการค้าเวียดนามระบุในแถลงการณ์ว่า ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขประเด็นสำคัญที่เป็นความกังวลร่วมกัน พร้อมกับเร่งรัดกระบวนการเจรจา และเสริมว่า เวียดนามและสหรัฐฯ ยังได้แลกเปลี่ยนนโยบายที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เพื่อนำไปสู่ขั้นตอนถัดไปของการเจรจา
รายงานระบุว่า คณะผู้แทนเวียดนามซึ่งนำโดยเหงียน หง เดียน รัฐมนตรีการค้า ยังประกอบด้วยตัวแทนจากหลากหลายภาคส่วน ทั้งอุตสาหกรรมก่อสร้าง เกษตรกรรม เทคโนโลยี รวมถึงตัวแทนจากธนาคารกลางและกระทรวงการคลัง
ก่อนหน้านี้ เดียนได้พบปะกับเจมิสัน เกรียร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ระหว่างการประชุมรัฐมนตรีการค้าของกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปค) ณ เกาะเชจู ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
ปัจจุบัน สหรัฐฯ ได้ชะลอการเรียกเก็บภาษีนำเข้า 46% สำหรับสินค้าเวียดนามออกไปจนถึงเดือนก.ค. โดยเรียกเก็บเพียง 10% แทนชั่วคราว หากมีการบังคับใช้จริง อัตราภาษีสูงดังกล่าวอาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจเวียดนาม ซึ่งพึ่งพาการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ เป็นหลัก
ทั้งนี้ เวียดนามซึ่งเป็นฐานการผลิตระดับภูมิภาคที่สำคัญสำหรับบริษัทตะวันตกหลายแห่ง มียอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ สูงถึงกว่า 1.23 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2567 รัฐบาลเวียดนามจึงดำเนินมาตรการหลายอย่างเพื่อแก้ไขสถานการณ์นี้ เช่น การสกัดกั้นการขนส่งสินค้าจีนไปยังสหรัฐฯ โดยใช้เวียดนามเป็นทางผ่าน และเพิ่มการซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (20 พ.ค. 68)
Tags: ภาษีนำเข้า, สหรัฐ, เวียดนาม