
นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุน และการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า หลังจากการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับ 27 ชาติสมาชิกอียูไม่มีความคืบหน้า ประธานาธิบดีทรัมป์ขู่จะเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากอียู 50% โดยมีกำหนดเริ่มต้นในวันที่ 1 มิ.ย.นี้ การเก็บภาษีในระดับ 50% ย่อมส่งผลกระทบต่อระบบการค้าโลกและสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจของทั้งสหรัฐฯ และอียูอย่างมาก ขณะที่ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าระหว่างสหรัฐฯ และอียูมีมูลค่าสูงเกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อ มูลค่าการค้าในระดับ 1 ล้านล้านดอลลาร์ที่ได้รับผลกระทบนี้ย่อมทำให้เกิดความเสี่ยงและโอกาสต่อการส่งออกสินค้าของไทย
อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่าจะมีการเร่งรีบเจรจาก่อนที่จะเป็นการปรับเพิ่มกำแพงภาษีนำเข้า ตลาดหุ้นที่ปรับฐานลงมาก็จะฟื้นตัวอีกครั้งหนึ่ง และมีข้อสงสัยมากขึ้นว่าการพลิกกลับไปมาและความไม่คงเส้นคงวาของนโยบายภาษีการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์อาจเป็นวิธีการแสวงหากำไรจากการสวิงขึ้นลงของราคาหุ้นที่เข้าข่ายการใช้ข้อมูลภายใน (Inside Information) ของกลุ่มผลประโยชน์เครือข่ายผู้มีอำนาจ
กรณีของอียูทำให้เห็นชัดเจนว่า การผนึกกำลังของภูมิภาคย่อมสร้างอำนาจต่อรองกับสหรัฐฯ ได้ดีกว่าและไม่ตกเป็นเบี้ยล่างในการเจรจา การผนึกกำลังกับประเทศอาเซียนเพื่อไปเจรจาต่อรองร่วมกันจะเพิ่มอำนาจต่อรองให้ประเทศไทย ผู้นำอาเซียนต้องหารือกัน หากแต่ละประเทศเจรจาแบบทวิภาคีกับสหรัฐฯ จะไม่มีอำนาจต่อรองอะไรเลยและอาจต้องทำตามผลประโยชน์ทางการค้าและเศรษฐกิจตามที่สหรัฐฯ ต้องการเป็นหลัก การลดอัตราภาษีให้กับสินค้าจากสหรัฐฯ การเปิดตลาดและการเพิ่มการนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ เป็นกลยุทธการเจรจาที่ทุกประเทศน่าจะนำมาใช้เช่นเดียวกัน หากกลยุทธเหล่านี้ทำในนามของ “อาเซียน” ย่อมมีพลังมากกว่าการไปเจรจาแบบทวิภาคี การแลกได้แลกเสีย (Trade Off) ในการเจรจาการค้าล้วนเกี่ยวพันกับมิติเศรษฐศาสตร์การเมืองทั้งสิ้น ไม่ใช่ประเด็นเศรษฐกิจล้วน ๆ อย่างประเด็น Market Access ที่กลุ่มทุนบริการของสหรัฐฯต้องการให้เกิดขึ้น กลุ่มทุนบริการของไทยที่มีอำนาจผูกขาดในโครงสร้างตลาดภายในย่อมต่อต้านไม่ให้มีการเปลี่ยนแปลงและต้องการรักษาอำนาจผูกขาดไว้ต่อไป ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจอุตสาหกรรมโทรคมนาคม ธุรกิจอุตสาหกรรมการเงิน เป็นต้น หรือประเด็นภาษีเพื่อปกป้องตลาดภายในภาคเกษตรกรรมของไทย
หากอียูถูกเก็บภาษี 50% จากสหรัฐฯ และอียูตอบโต้ ไทยอาจได้ส่วนแบ่งตลาดจากอียูเพิ่มในสินค้าบางประเภท ขณะที่สินค้าจากอียูมีราคาสูงขึ้นในตลาดสหรัฐฯ ไทยอาจเข้าไปแทนที่ได้ในบางกลุ่ม เช่น อาหารแปรรูป เสื้อผ้า เฟอร์นิเจอร์ มีโอกาสขยายตลาดในอียู หากอียูตอบโต้สหรัฐฯ ด้วยการลดพึ่งพาสินค้าสหรัฐฯ ไทยอาจเข้าไปแทนที่ในบางกลุ่มสินค้า เช่น สินค้าเกษตร อาหาร อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อาจมีการย้ายฐานการผลิตเพิ่มขึ้น บริษัทอียูหรือต่างชาติอาจย้ายฐานการผลิตมายังไทยเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีสหรัฐฯ ไทยจึงควรเร่งทำข้อตกลงเอฟทีเอกับอียูเพื่อขยายตลาดเพิ่มขึ้น
สงครามการค้าที่กำลังเกิดขึ้นเวลานี้อาจจบลงที่ปล่อยให้ดอลลาร์อ่อนค่า ถึงที่สุดแล้วสหรัฐฯ อาจใช้กลยุทธทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าเพื่อปรับสมดุลทางการค้าและลดการขาดดุลจำนวนมาก การทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องจะทำให้สหรัฐฯ สามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันในมิติราคาได้ สหรัฐฯ เคยใช้วิธีนี้เมื่อ 40 ปีที่แล้วผ่านข้อตกลง Plaza Accord โดย ญี่ปุ่น เยอรมัน สหราชอาณาจักร และฝรั่งเศส ได้ปล่อยให้ค่าเงินของตัวเองแข็งค่าขึ้นตามปัจจัยพื้นฐานและการเกินดุลการค้า และแทรกแซงค่าเงินให้เงินสกุลของตัวเองแข็งค่าขึ้นนั่นเอง การแทรกแซงค่าเงินอาจทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงและเงินสกุลหลักอื่น ๆ แข็งค่าขึ้นได้แต่จะมีผลในระยะสั้นเท่านั้น หากไม่มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างตลาดและอุปสงค์ของเงินดอลลาร์ในตลาดปริวรรตเงินตราโลก
การที่ดอลลาร์สหรัฐและพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐยังคงเป็นทรัพย์สินที่ใช้เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศของประเทศต่าง ๆ อยู่ โดยดอลลาร์สหรัฐอยู่ในทุนสำรองระหว่างประเทศของประเทศต่าง ๆ ประมาณ 58-60% อุปสงค์เหล่านี้กดดันให้เงินดอลลาร์แข็งค่า แม้สถานะดอลลาร์สหรัฐฯเริ่มเปลี่ยนไปแล้วจากหนี้สาธารณะจำนวนมหาศาลของสหรัฐฯ การถูกลดอันดับเครดิต มีการเทขายดอลลาร์และพันธบัตรของธนาคารกลางหลายประเทศมีการเสนอแนวคิด Mar-a-Lago Accord โดยกลุ่มที่ปรึกษาเศรษฐกิจของรัฐบาลทรัมป์เสนอให้ประเทศต่าง ๆ ถือพันธบัตรระยะยาวพิเศษชนิดไม่มีดอกเบี้ย (Zero Coupon Century Bond) แทนดอลลาร์สหรัฐฯ และพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ชนิดมีดอกเบี้ย เป็นการจัดระเบียบการเงินโลกใหม่ มีเป้าหมายลดการขาดดุลการค้าเพิ่มความสามารถการแข่งขันภาคส่งออกจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ พร้อมกับยังคงรักษาบทบาทดอลลาร์สหรัฐฯ ในฐานะเงินสกุลหลักของโลก กลไกนี้จะช่วยทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงและลดความต้องการดอลลาร์ระยะสั้น และทำให้กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ถ่ายโอนความเสี่ยงอัตราดอกเบี้ยไปให้กับนักลงทุนและรัฐบาลประเทศต่าง ๆ แทน ต้นทุนดอกเบี้ยและหนี้สาธารณะลดลงอย่างมาก โดยการนำเสนอให้ประเทศต่าง ๆ ถือพันธบัตรระยะยาวพิเศษชนิดไม่มีดอกเบี้ยนั้น รัฐบาลทรัมป์น่าจะเอาเรื่องการเปิดตลาด การสนับสนุนทางด้านความมั่นคง กำแพงภาษีนำเข้ามาเป็นเครื่องมือในการโน้มน้าวและบีบให้ดำเนินการตามต้องการ การปฏิบัติตามแนวคิด Mar-a-Lago Accord อาจไม่ง่ายเหมือน Plaza Accord ปี 1985 แต่แนวคิดนี้สะท้อนการเปลี่ยนแปลงทางจุดยืนเกี่ยวกับบทบาทของดอลลาร์ในระบบการเงินโลก ทำให้ความผันผวนของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และความเสี่ยงด้านมูลค่าของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และดอลลาร์เพิ่มสูงขึ้นนั่นเอง ดอลลาร์อ่อนค่าลงจะทำให้ประเทศที่ถือเงินดอลลาร์จำนวนมากในทุนสำรองระหว่างประเทศอาจขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวนมากได้
นายอนุสรณ์ กล่าวว่า มีโอกาสที่เงินบาทแข็งแตะ 31-32 บาท/ดอลลาร์ อันเป็นผลจากการอ่อนตัวของค่าเงินดอลลาร์ ความพยายามในการผลักดันกฎหมายปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลจำนวนมากของรัฐบาลทรัมป์จะทำให้ฐานะการคลังและหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ย่ำแย่ลง ส่งผลกดดันต่อเงินดอลลาร์และพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ นอกจากนี้การปรับลดอันดับเครดิตของสหรัฐฯ โดย Moody จะยังส่งผลกดดันต่อค่าเงินดอลลาร์และการปรับเพิ่มขึ้นอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอไปอีกระยะหนึ่ง คาดการณ์ว่า ตัวเลขส่งออกเดือนเมษายนของไทยจะยังขยายตัวเป็นบวกและดุลการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัดยังคงเกินดุลต่อเนื่อง ประกอบกับการมีเงินทุนระยะสั้นของนักลงทุนต่างชาติไหลเข้ามาซื้อสุทธิหุ้นและพันธบัตรไทยล้วนเป็นปัจจัยกดดันให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น แม้ขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปจะชะลอตัวลงก็ตาม
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (25 พ.ค. 68)
Tags: ขึ้นภาษี, ส่งออก, อนุสรณ์ ธรรมใจ, เศรษฐกิจไทย