
บล.เอเซียพลัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ความเสี่ยงข้อพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา ส่งผลต่อบริษัทจดทะเบียนรายอุตสาหกรรม โดยมองว่า กลุ่มเครื่องดื่ม คาด CBG ได้รับผลกระทบด้านลบ เนื่องจากมียอดขายเครื่องดื่มชูกำลังจากต่างประเทศหลัก มาจากประเทศกัมพูชา คิดเป็นสัดส่วนราว 37% ของยอดขายเครื่องดื่มชูกำลัง และ 21% ของยอดขายทั้งหมด นอกจากนี้ CBG ยังมีแผนเข้าไปลงทุนสร้างโรงงานในกัมพูชาในรูปแบบ JV ซึ่งตามแผนจะเริ่มผลิตได้ในต้นปี 69 ส่วน OSP คาดได้รับผลกระทบน้อย เนื่องจากยอดขายในกัมพูชา คิดเป็นเพียง 1-2% ของยอดขายรวม
-
กลุ่มโรงพยาบาล (รพ.) มองว่าจะไม่ได้รับกระทบมากนัก เนื่องจากคนไข้กัมพูชาที่เข้าใช้บริการส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนที่ทำงานในไทย(EXPAT) ส่วนคนไข้กัมพูชาส่วนใหญ่ที่บินเข้ามารักษา รพ.ในไทยเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง และการรักษาพยาบาลยังเป็นสิ่งที่จำเป็น แต่ฐานคนไข้กลุ่มนี้ชะลอลงติดกันแล้วหลายไตรมาสก่อนหน้า ทำให้เทียบสัดส่วนต่อรายได้ปัจจุบันไม่ได้มีนัยสำคัญมากนัก และคาดว่าจะได้รับชดเชยจากการเข้ามาของคนไข้ชาติอื่นๆ แทน
ส่วนรพ.ที่อยู่ตามขอบชายแดนไทย-กัมพูชา อาจทำให้ลูกค้าชะลอเข้าใช้บริการบ้างเล็กน้อย สร้าง Sentiment เชิงลบต่อ BCH เนื่องจากมี รพ.1 แห่งที่อรัญประเทศฯ สำหรับ BDMS แม้มี รพ.2 แห่งที่อยู่ในประเทศกัมพูชา แต่กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติที่อาศัยหรือทำงานในกัมพูชา จึงคาดไม่ได้กระทบอย่างมีนัยเช่นกัร ทั้งนี้ 2 รพ.ดังกล่าวคิดเป็นเพียง 1% ของรายได้ธุรกิจ รพ.ของ BDMS
-
กลุ่มโรงไฟฟ้า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ที่ฝ่ายวิจัยศึกษา ไม่ได้มีการเข้าลงทุนในประเทศกัมพูชา มีเพียง BGRIM ที่มีโรงไฟฟ้าSOLAR 39MWE คิดเป็นสัดส่วนเพียง 1% ของกำลังการผลิตทั้งหมดที่ COD ในปัจจุบัน จึงคาดจะไม่มีนัยต่อกำไรของ BGRIM
-
กลุ่มพลังงาน OR มีธุรกิจในเวียดนามผ่านสถานีบริการน้ำมันในกัมพูชา 186 สถานี (จากทั้งหมด 2,761 สถานีในไทย + ต่างประเทศ) , ร้าน CAFE AMAZON 254 ร้าน (จากทั้งหมด 4,898 ร้านค้า), และร้านสะดวกซื้อ 71 ร้านค้า (จากทั้งหมด 2,421 ร้านค้า) โดยในปี 67 มีส่วนแบ่ง EBITDA มาจากเวียดนามราว 1.2 พันล้านบาท หรือราว 7.0% ของ EBITDA รวมของ OR ปัจจุบัน OR ยืนยันกำรดำเนินงานเป็นไปตามปกติ และยังไม่ได้รับผลกระทบ จึงยังอยู่ในช่วงของการติดตามสถานการณ์ต่อไป
-
กลุ่ม ICT คาดไม่กระทบ เพราะการให้บริการหลักอยู่ในไทย
-
กลุ่มค้าปลีก คาดผลกระทบน้อย แม้มี CPALL, CPAXT และ BJC ที่มีการไปเปิดสาขาในกัมพูชา ถือเป็นสัดส่วนน้อยมากเมื่อเทียบกับสาขาทั้งหมด โดย ณ สิ้นปี 67 CPALL มีสาขา 7-ELEVEN ทั้งหมด 15,367 สาขา ส่วนใหญ่ 99.2% เป็นสาขาในไทย ที่เหลือเป็นสาขาในกัมพูชา 112 สาขา และลาว 10 สาขา ส่วน CPAXT ส่วนธุรกิจค้าส่งมีสาขาทั้งหมด 175 แห่ง เป็นสาขาใน 165 แห่ง ในกัมพูชาเพียง 3 แห่ง BJC มีสาขา BIGC ทั้งหมด 2,030 สาขา ส่วนใหญ่ 98.7% เป็นสาขาในไทย (2,003 แห่ง) โดยเป็นสาขาในกัมพูชา 25 แห่ง
-
กลุ่มมีเดีย MAJOR มีโรงหนัง 6 แห่ง รวม 33 จอในประเทศกัมพูชา คิดเป็น 3.8% ของจำนวนจอภาพยนตร์ทั้งหมด ของ MAJOR ที่มี 863 จอ
-
กลุ่มวัสดุก่อสร้าง บริษัทในกลุ่มวัสดุก่อสร้างส่วนใหญ่จะมีการขายสินค้าวัสดุก่อสร้างเช่น ปูนซีเมนต์ กระเบื้องไปในกลุ่ม CLMV ซึ่งกัมพูชาถือเป็นหนึ่งในประเทศสำคัญที่มีการค้าชายแดนกับไทย โดย SCCC มีบริษัทร่วมทุนในประเทศกัมพูชาคือ CHIPMONG INSEE CEMENT CORPORATION สัดส่วน 40% โดยมีส่วนแบ่งกำไรประมาณปีละ 200-250 ล้านบาท คิดเป็น 5-8% ของกำไรทั้งหมดของ SCCC ขณะที่ SCC มีรายได้จากกัมพูชาประมาณ 5-7% ของรายได้ทั้งหมด,
-
กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ คาดไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากกลุ่มผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยทั้งเพื่อขาย และเพื่อเช่า รวมถึง ผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรม ไม่มีการลงทุนในประเทศกัมพูชา และไม่มีการพัฒนาโครงการที่ตั้งอยู่ใกล้ชายแดนไทย-กัมพูชา
-
กลุ่มเกษตรอาหาร แม้ CPF มีการลงทุนในประเทศกัมพูชา แต่เป็นฐานการผลิตเพื่อขายในประเทศกัมพูชาเป็นหลักและคิดเป็นสัดส่วนรายได้เพียง 3-4% ของรายได้รวม จึงไม่กระทบอย่างมีนัยฯ ขณะที่บริษัทอื่น เช่น TU, ITC และ GFPT ไม่มีการลงทุนในกัมพูชา จึงไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (05 มิ.ย. 68)
Tags: CBG, กัมพูชา, คาราบาวกรุ๊ป, หุ้นไทย, เอเชียพลัส