
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารให้ติ๊กต๊อก (TikTok) ซึ่งเป็นแอปยอดนิยมในหมู่วัยรุ่นที่มีบริษัทไบต์แดนซ์ (ByteDance) จากจีนเป็นเจ้าของ ยังคงดำเนินกิจการในสหรัฐฯ ต่อไปได้อีก 90 วัน เพื่อเปิดโอกาสให้รัฐบาลสหรัฐฯ มีเวลามากขึ้นในการเจรจาข้อตกลงภายใต้กฎหมาย “ขายหรือแบน”
ด้วยเหตุนี้ ติ๊กต๊อกจึงยังสามารถให้บริการผู้ใช้งาน 170 ล้านคนในสหรัฐฯ ต่อไปได้
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นับเป็นครั้งที่ 3 แล้วที่รัฐบาลของปธน.ทรัมป์เลื่อนการสั่งแบนติ๊กต๊อกออกไป โดยคำสั่งฝ่ายบริหารเมื่อวันพฤหัสบดี (19 มิ.ย.) ทำให้เส้นตายได้ถูกเลื่อนออกไปอีกจนถึงวันที่ 17 ก.ย. 2568 ซึ่งก่อนหน้านี้ ทรัมป์ได้ขยายเวลาการสั่งแบนออกไปสองครั้งแล้วครั้งละ 75 วันเมื่อวันที่ 20 ม.ค. และ 4 เม.ย.ปีนี้ตามลำดับ
ทั้งนี้ ทรัมป์มีผู้ติดตามบนติ๊กต๊อกมากกว่า 15 ล้านคน นับตั้งแต่เขาเข้าร่วมการแข่งขันชิงตำแหน่งปธน.ในปี 2567 โดยเขากล่าวในเดือนม.ค.ว่า เขามี “ความรู้สึกดี ๆ กับติ๊กต๊อก”
การขยายเวลาต่อเนื่องนี้ทำให้มีแนวโน้มว่า สหรัฐฯ อาจไม่แบนติ๊กต๊อกเร็ว ๆ นี้ แม้ว่าคำสั่งบริหารเพื่อให้ติ๊กต๊อกดำเนินการต่อไปนั้นได้ถูกตรวจสอบและวิพากษ์วิจารณ์ แต่ยังไม่เคยถูกฟ้องร้องในศาล
ทั้งนี้ ในการดำรงตำแหน่งสมัยแรกนั้น ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารที่มีผลบังคับใช้เพื่อแบนติ๊กต๊อกในสหรัฐฯ เว้นแต่ไบต์แดนซ์จะขายกิจการติ๊กต๊อกในสหรัฐฯ ให้กับบริษัทสหรัฐฯ แต่คำสั่งดังกล่าวไม่ได้มีผลบังคับใช้เนื่องจากเผชิญอุปสรรคทางกฎหมาย
ก่อนที่ต่อมา โจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ ในขณะนั้นได้ลงนามในกฎหมายบังคับให้ไบต์แดนซ์ต้องการขายกิจการติ๊กต๊อกในสหรัฐฯ ภายในเวลา 270 วัน ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ หากบริษัทไม่ปฏิบัติตาม ตัวแอปจะถูกลบออกจากแพลตฟอร์มร้านค้าแอปของแอปเปิ้ล (Apple) และกูเกิล (Google) โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 19 ม.ค. 2568
ขณะเดียวกัน ผลสำรวจของพิว รีเสิร์ช เซนเตอร์ (Pew Research Center) เมื่อไม่นานมานี้ เปิดเผยให้เห็นว่า ชาวสหรัฐฯ ประมาณ 1 ใน 3 หรือราว 33% สนับสนุนการแบนติ๊กต๊อก ซึ่งลดลงจาก 50% จากผลสำรวจเมื่อเดือนมี.ค. 2566 ขณะที่จำนวนผู้ไม่เห็นด้วยและผู้ที่ไม่มั่นใจกับการแบนติ๊กต๊อกก็มีสัดส่วนใกล้เคียงกันที่ราว 1 ใน 3 หรือประมาณ 33% เช่นกัน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (20 มิ.ย. 68)