
สายการบินหลายแห่งยังคงหลีกเลี่ยงการบินผ่านพื้นที่ส่วนใหญ่ของตะวันออกกลาง หลังสหรัฐฯ ร่วมวงความขัดแย้งอิสราเอล-อิหร่าน ด้วยการโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ 3 แห่งในอิหร่าน
เว็บไซต์ FlightRadar24 เผยให้เห็นว่า สายการบินต่าง ๆ เลี่ยงบินในน่านฟ้าเหนืออิหร่าน อิรัก ซีเรีย และอิสราเอล โดยเลือกใช้เส้นทางอื่น เช่น บินขึ้นเหนือผ่านทะเลแคสเปียน หรือลงใต้ผ่านอียิปต์และซาอุดีอาระเบีย แม้จะทำให้สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงและค่าใช้จ่ายสูงขึ้น
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้น หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ แถลงว่า กองทัพสหรัฐฯ ได้ปฏิบัติการ “โจมตีที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก” ถล่มเป้าหมายนิวเคลียร์ 3 แห่งในอิหร่านเรียบร้อยแล้ว
ทรัมป์กล่าวจากทำเนียบขาวว่า “เมื่อไม่นานมานี้ กองทัพสหรัฐฯ ได้ปฏิบัติการโจมตีอย่างแม่นยำครั้งใหญ่ต่อโรงงานนิวเคลียร์หลัก 3 แห่งของรัฐบาลอิหร่าน ได้แก่ ฟอร์โด นาทานซ์ และอิสฟาฮาน” และเสริมว่า สหรัฐฯ และอิสราเอล “ทำงานร่วมกันเป็นทีม”
ขณะเดียวกัน ผู้นำสหรัฐฯ ยังได้เตือนอิหร่านว่า อิหร่าน “ต้องสร้างสันติภาพ ไม่เช่นนั้น การโจมตีในอนาคตจะยิ่งใหญ่และง่ายดายกว่าเดิมมาก” โดยอิหร่านต้องเลือกว่าจะสร้างสันติภาพ หรือ “โศกนาฏกรรมที่ใหญ่หลวงสำหรับอิหร่าน ยิ่งกว่าที่เราได้เห็นมาตลอด 8 วันนี้ โปรดจำไว้ว่ายังมีเป้าหมายอีกมาก”
ทรัมป์ขู่ว่า “หากสันติภาพไม่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เราจะมุ่งเป้าไปที่เป้าหมายอื่น ๆ ด้วยความแม่นยำ ความเร็ว และความเชี่ยวชาญ ส่วนใหญ่ไม่กี่นาทีก็จัดการได้แล้ว”
อย่างไรก็ดี เซย์เยด อับบาส อารักชี รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของอิหร่าน เปิดเผยในวันนี้ว่า การที่สหรัฐฯ โจมตีโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่านนั้น “อุกอาจ” และ “จะส่งผลที่ตามมาไม่รู้จบ” โดยอิหร่านเตรียม “งัดใช้ทุกวิถีทาง” เพื่อตอบโต้ และล่าสุด อิหร่านได้ยิงขีปนาวุธใส่อิสราเอลแล้ว ไม่สนคำขู่จากสหรัฐฯ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (22 มิ.ย. 68)