
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย เดินทางเข้าพบ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับสมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา (อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา) ในความผิดต่อกฎหมายไทยจากกรณีที่สมเด็จฮุนเซนได้สั่งให้นายเกียง ฮวด รองผู้ว่าการกรุงพนมเปญ ร่วมกับตำรวจไทยสายเสื้อแดงสังหารนายลิม คิมยา นักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามในประเทศไทย ซึ่งคลิปเสียงเผยแพร่ผ่านสำนักข่าวอัลจาซีรา
ต่อมาทางการกัมพูชาปฏิเสธคลิปเสียงดังกล่าว โดยระบุว่าเป็นคลิปเสียงที่ทำขึ้นด้วยเทคโนโลยี AI แต่ผู้เชี่ยวชาญทางเทคโนโลยียืนยันว่าคลิปเสียงดังกล่าวเป็นเสียงสมเด็จฮุนเซนจริง และต่อมาวันที่ 22 ส.ค.66 นายพร พันนา นักเคลื่อนไหวทางการเมืองฝั่งตรงข้ามสมเด็จฮุนเซนที่ลี้ภัยอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2565 ถูกชายแปลกหน้า 3 คนที่พูดภาษากัมพูชาทุบตีที่จังหวัดระยองได้รับบาดเจ็บที่หน้าและหน้าอก
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏเช่นนี้ ตนในฐานะอดีต ผบ.ตร.ที่ทราบกฎหมายว่าการกระทำดังกล่าวแม้จะเป็นการสั่งมาจากนอกราชอาณาจักรมาดำเนินการในประเทศไทยก็ถือว่าเป็นความผิดในกฎหมายไทยด้วย วันนี้จึงต้องร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีสมเด็จฮุนเซน โดยเอกสารที่ตนนำมายื่นให้ประกอบด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง อาทิ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 85 ที่บัญญัติว่าผู้ใดโฆษณาหรือประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้กระทำความผิด และความผิดนั้นมีอัตราโทษไม่ต่ำกว่า 6 เดือน ก็จะต้องรับโทษในความผิดบัญญัตินั้นเสมือนเป็นตัวการ
“ผมเป็นอดีตตำรวจ ไม่ได้มีอำนาจตามกฎหมายที่จะไปเรียกใครมาสอบสวน จึงจำเป็นต้องให้ลูกน้องเก่าซึ่งมีอำนาจตามกฎหมายไปดำเนินการติดตามจับกุม วันนี้ผมมาเสนอแนะสิ่งที่เกิดขึ้นและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ตำรวจจะสอบสวนฝ่ายเดียวไม่ได้ ต้องให้อัยการสูงสุดมาเป็นพนักงานสอบสวนร่วมด้วย” พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าว
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ยืนยันว่า กรณีดังกล่าวสำนักงานตำรวจแห่งชาติสามารถดำเนินการได้ หากเจ้าหน้าที่สามารถรวบรวมพยานหลักฐานก็สามารถนำไปสู่หมายจับได้เช่นกัน โดยขอให้อย่าดูถูกฝีมือของลูกน้องเก่าตน เพราะสมัยนี้มีเครื่องมือเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า
ส่วนกรณีนายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) กรณีคลิปเสียงการพูดคุยระหว่าง น.ส.แพทองธาร กับสมเด็จฮุน เซน นั้น พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า เป็นการแก้เกี้ยว ไม่ได้ต้องการดำเนินคดีสมเด็จฮุน เซนจริง ส่วนข้อความการแจ้งความตนกำลังหารายละเอียดเพิ่มเติม ทั้งนี้การแจ้งความกับตำรวจไซเบอร์นั้นไม่มีความหมาย
สำหรับข้อมูลที่นำมาร้องทุกข์กล่าวโทษในวันนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมในวันที่ 28 มิ.ย.68 บริเวณอนุสาวรีย์ชัชสมรภูมิ เนื่องจากคดีดังกล่าวเป็นคดีความระดับประเทศที่ต้องมีอัยการสูงสุดเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน ส่วนกรอบระยะเวลาตนเองไม่ได้กดดันเจ้าหน้าที่ เพราะมีหลายขั้นตอนที่ต้องดำเนินการ แต่หากตำรวจไม่ทำก็จะเข้าข่ายความผิดมาตรา 157 ซึ่งตนเองจะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (23 มิ.ย. 68)