ธ.ก.ส. หนุนคนรุ่นใหม่สู่ “เกษตรหัวขบวน” ร่วมพลิกโฉมนวัตกรรมเกษตรไทย

นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยภายหลังนำ “เกษตรกรหัวขบวน” ศึกษาดูงานการยกระดับมาตรฐานและมูลค่าสินค้าเกษตร ณ เขตปกครองตนเอง ซินเจียง สาธารณรัฐประชาชนจีน ว่า หลักสำคัญ คือ ต้องการให้เกษตรกรหัวขบวน 10 แห่ง (จากทั้งหมด 24,000 รายทั่วประเทศ) นำเกษตรกรรายย่อยอื่น ๆ ในพื้นที่มาเข้าร่วมเป็นวิสาหกิจชุมชน และพัฒนาการเกษตร

ซึ่งประเทศจีน ถือว่าประสบความสำเร็จในเรื่องการพัฒนาการเกษตรสมัยใหม่ เช่น โรงเรือนปลูกผักแนวตั้ง โดยใช้เทคโนโลยีเป็นหลัก ทำให้ประหยัดแรงงาน เพราะมีหัวหน้างานเพียง 1 คน และพนักงานเพียง 10 คน แต่สามารถดูแลพื้นที่เพาะปลูกได้ถึง 1.6 หมื่นตารางเมตร ในขณะเดียวกัน ก็สามารถควบคุมสภาพแวดล้อมในการเพาะปลูก และผลผลิตให้มีประสิทธิภาพด้วย

ทั้งนี้ ธ.ก.ส. มีนโยบายส่งเสริมนวัตกรรมเกษตรกร โดยที่ผ่านมาคณะกรรมการธนาคารฯ ได้อนุมัติโครงการสินเชื่อเพื่อเทคโนโลยีและเครื่องจักรกลการเกษตร (Smart Tech) ให้เกษตรกรสามารถขอสินเชื่อ เพื่อใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการประยุกต์เข้ากับการทำการเกษตรแบบดั้งเดิม ในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าปกติ

นอกจากนี้ ยังมีนโยบายส่งเสริมเกษตรกร นอกเหนือจากการผลิตวัตถุดิบเดิม (Raw materials) ให้กลายเป็นสินค้าสำเร็จรูป (Finished goods) เช่น สหกรณ์การเกษตรเปลี่ยนจากการที่รวบรวมข้าวเปลือก แต่ทำเป็นข้าวพร้อมรับประทาน และผลิตออกมาในรูปแบบต่าง ๆ ที่ ธ.ก.ส.ร่วมกับสถาบันวิจัย และมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในพื้นที่

“วัตถุดิบต้องใช้ปริมาณมาก และสุดท้ายราคาก็มีความผันผวนสูง แต่ถ้าผลิตเป็นสินค้าสำเร็จรูป ก็จะเป็นราคาที่เกษตรกรกำหนดเอง ไม่ใช่ตลาดกำหนดให้เกษตรกร” นายฉัตรชัย กล่าว

สำหรับภาพรวมตั้งแต่สนับสนุนเกษตรกรในการพัฒนานวัตกรรมการเกษตร นายฉัตรชัย กล่าวว่า มีการประกวดชุมชนอุดมสุขทั่วประเทศ ส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน สหกรณ์การเกษตรต่าง ๆ โดย ธ.ก.ส.จะเข้าไปช่วยทำแบรนด์ดิ้ง มาร์เก็ตติ้ง และออกแบบแพ็กเกจจิ้ง ให้แก่เกษตรกร

“เวลาเราไปเที่ยวเมืองนอก เราซื้อของฝาก ไม่ใช่ซื้อขนม แต่เวลาเกษตรกรผลิตออกมา คือ ผลิตขนม ซึ่งก็คือแป้ง น้ำตาลเหมือนกัน ดังนั้น อาจจะต้องเปลี่ยนการวางโพสิชัน ไปมุ่งเรื่องมาร์เก็ตติ้ง และแพ็กเกจจิ้ง ก็จะทำให้ลูกค้ากลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงชอบ แทนที่จะซื้อขนมกลายเป็นซื้อของฝาก ซึ่งของฝากจะมีวอลลุ่มการซื้อที่มีไม่จำกัด” นายฉัตรชัย กล่าว

นอกจากนี้ จากเดิมที่ ธ.ก.ส. จากเดิมที่สนับสนุนโรงเรียนด้วยโครงการเกษตรอาหารกลางวัน ได้เปลี่ยนเป็น “เกษตรการค้า” ให้นักเรียนตั้งแต่ชั้น ม.4 สามารถที่จะเรียนรู้โดยใช้องค์ความรู้ และเงินทุนของ ธ.ก.ส. ในการเริ่มทำปศุสัตว์ หรือปลูกผักในโรงเรียน เพราะการทำเกษตรต้องใช้เวลา

โดยมองว่าในช่วง ม.4-ม.6 เด็กจะได้เรียนรู้ และมีประสบการณ์ในการปลูกพืชมากพอ ที่นักเรียนสามารถผลิตเพื่อขายให้กับครู หรือชุมชนใกล้เคียงโรงเรียนได้ ขณะเดียวกัน พ่อเม่ก็ได้องค์ความรู้จากเด็กด้วย เพราะเด็กสามารถรับใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้ต่าง ๆ ได้มาก ซึ่งจะทำให้มีเกษตรกรสมัยใหม่เข้ามาในภาคการเกษตรมากขึ้น เพราะตอนนี้ภาคเกษตรของไทย มีความท้าทายเรื่องสังคมสูงอายุของเกษตรกรดั้งเดิม และลูกหลานเกษตรกร ไม่ได้อยู่ในภาคเกษตร

“นี่เป็นอีกบทบาทของ ธ.ก.ส. คือการนำคนกลุ่มหนึ่งเข้าภาคเกษตร ทั้งกลุ่มคนเมืองอายุ 50 ปีขึ้นไป เตรียมตัวหลังเกษียณ และกลุ่มเด็กใหม่ ๆ ที่เริ่มตั้งแต่ ม.4 โดยมองว่าระบบการศึกษาไทย มุ่งเน้นให้จบระดับปริญญาตรี เงินเดือนเริ่มต้น 15,000-20,000 บาท หรือเฉลี่ยปีละประมาณ 240,000 บาท ถ้าทำงานในเมือง แต่ถ้าสามารถทำการเกษตรในพื้นที่ของเขาได้ 3 crop ตก crop ละ 80,000 บาท ทั้งปีก็จะเท่ากับรายได้จากการทำงานในเมือง แต่ 80,000 บาทที่เกิดขึ้นในต่างจังหวัด ไม่มีค่าใช้จ่าย และมีเวลาอยู่กับครอบครัว และทำอีกหลายอย่าง ดังนั้น การเกษตรสมัยใหม่ จะเป็นอีกเครื่องมือที่จะยกระดับเศรษฐกิจพื้นฐานของประเทศ” นายฉัตรชัย กล่าว

สำหรับอายุของลูกค้า ธ.ก.ส.ที่เป็นเกษตรกรนั้น พบว่าจะมีอายุ 70 ปีในอีก 10 ปีข้างหน้า คิดเป็นจำนวนครึ่งหนึ่งของพอร์ต ทั้งนี้ ธ.ก.ส. พยายามสร้างลูกค้าที่มาขึ้นทะเบียนสมัยใหม่ปีละ 1 แสนคน ดังนั้น 4 ปี ก็จะมี New Technology farmer เพิ่มขึ้นเป็น 4 แสนคนได้

นายฉัตรชัย กล่าวว่า นอกจากนี้ ธ.ก.ส. ยังมี “สินเชื่อเกษตรวิวัฒน์” ให้คนอายุ 50 ปีขึ้นไปที่ทำงานในเมือง เตรียมตัวในการใช้อาชีพการเกษตรในการ offset ค่าใช้จ่ายหลังเกษียณ โดยโครงการดังกล่าวยังอยู่ระหว่างเพิ่งเริ่มต้น แต่ก็มีผู้ให้ความสนใจทั่วประเทศ

“เมื่ออายุ 60 ปีแล้ว ทุกคนก็คงถามตัวเองว่า อยู่ในเมืองได้หรือไม่ ซึ่งคนพูดตรงว่าอยู่ในเมืองไม่ได้ เพราะรายจ่ายสูง แต่การทำการเกษตรไม่ใช่ทำตอนอายุ 60 ปี แล้ว 61 ปีแล้วจะประสบความสำเร็จ ดังนั้นการเริ่มต้นในอายุ 50 ปี เป็นการทำแบบคู่ขนานกับงานประจำ พอผ่านไป 10 ปีเมื่อเกษียณแล้ว ไม่ได้บอกว่าจะต้องทำรายได้จากการเกษตร แต่เป็นการลดค่าใช้จ่ายในการบริโภค และเดินทางได้” นายฉัตรชัย กล่าว

ทั้งนี้ “สินเชื่อเกษตรวิวัฒน์” เป็นสินเชื่อสำหรับคนที่มีความฝันอยากทำการเกษตร แต่ไม่มีที่ดิน โดยธ.ก.ส. พร้อมจ่ายสินเชื่อในวงเงิน 37,500 ล้านบาท ในเฟสแรกพร้อมจ่าย 25,000 ล้านบาททันที เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 68 เป็นต้นไป โดยกลุ่มเป้าหมายแรก คือ กลุ่มผู้ที่มีรายได้ประจำ

อย่างไรก็ดี ในระยะแรกจะให้พนักงานรัฐวิสาหกิจเท่านั้น แต่ในระยะถัดไปมีโอกาสที่จะขยายไปถึงผู้ที่มีรายได้ประจำ โดยวงเงินกู้สูงสุดไม่เกิน 8 ล้านบาทต่อคน เนื้อที่ไม่เกิน 20 ไร่ อัตราดอกเบี้ย MRR -2% เป็นการเติมคนภาคเกษตรเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยผู้ที่กู้ได้จะต้องอายุ 50 ปีขึ้นไป แต่ไม่เกิน 59 ปี

ด้านนายสุนัน พงศ์ประยูร ผู้ช่วยผู้จัดการ ธ.ก.ส. กล่าวว่า ปัจจุบัน ธ.ก.ส. ดูแลลูกค้ากว่า 7 ล้านครัวเรือน ทั้งเกษตรกรทั่วไป วิสาหกิจชุมชน กองทุนหมู่บ้าน สถาบันการเงินชุมชน สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร และสหกรณ์ออมทรัพย์ รวมถึงนิติบุคคลต่าง ๆ ซึ่งในปีที่ผ่านมา ผู้จัดการธ.ก.ส. กำหนดแผนการดำเนินงาน ดังนี้ 1. เป็นแกนกลางทางการเกษตร คือสนับสนุนสินเชื่อทุกรูปแบบ รวมถึงในเรื่องความยั่งยืน เช่น สินเชื่อป่าไม้ สินเชื่อ PM 2.5 และสินเชื่อ ESG รวมทั้ง Green bond และ Green Credit 2. สนับสนุนการนำเทคโนโลยีมาใช้ และ 3. การตลาด และการพัฒนาองค์ความรู้ รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์

นายธารา ศรีหะมาศ ผู้อำนวยการฝ่ายสินเชื่อบุคคล ธ.ก.ส. เปิดเผยรายละเอียดของสินเชื่อ ธ.ก.ส. ว่า ปัจจุบัน ธ.ก.ส. มีลูกค้า 7 ล้านกว่าคน แต่ลูกค้าที่แอ็กทีฟ มีความเคลื่อนไหวทำธุรกรรมในการกู้เงินมีเพียง 4.8 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้ เป็นผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปประมาณ 6.5 ล้านคน โดยมีภาระหนี้สินกว่า 1 ใน 3 หรือจำนวน 1.5. ล้านคน ที่มีหนี้ไปจนถึงอายุ 90-100 ปี

นายธารา กล่าวว่า ตอนนี้ GDP ของไทยมีภาคเกษตรเพียง 8% ส่วนหนึ่งเกิดจากการก้าวสู่สังคมสูงอายุของไทย โดย ธ.ก.ส. มีโครงการ “สินเชื่อแทนคุณ” โดยให้สินเชื่อแก่ทายาทลูกหลานเกษตรกร กู้เงินไปปิดจบหนี้บุพการี โดยทายาทที่เป็นเกษตรกรรุ่นใหม่ อายุไม่เกิน 60 ปี จะเป็นผู้กู้ปิดหนี้ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป โดยจุดเด่นของผลิตภัณฑ์นี้ คือ จะเป็นการสงวนรักษาที่ดินเอาไว้ให้ทั้งโฉนด และ สปก. และลดดอกเบี้ย รวมต้น และรวมดอกเบี้ย ไม่คิดดอกเบี้ย 5 ปีแรก (คิดอัตราดอกเบี้ย MRR 6.725%) แต่ปีที่ 6 เป็นต้นไป MRR -2%

สำหรับสินเชื่อ Smart Tech จะให้เกษตรกรกู้ได้ถึง 95% ของมูลค่าที่จะลงทุน ถ้าเป็นหนี้นอกที่เกี่ยวกับนวัตกรรมการเกษตร หรือเทคโนโลยีการเกษตรของธนาคารอื่น ธ.ก.ส. ก็รับรีไฟแนนซ์ ทั้งโดรน รถไถ แพลตฟอร์มการเกษตร รวมถึงโรงเรือนเพาะปลูกแนวตั้งที่เป็นเทคโนโลยีใหม่ ๆ โดยมีอัตราดอกเบี้ย MRR -1% ตลอด 5 ปี

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (25 มิ.ย. 68)