
ผลเลือกตั้งขั้นต้นที่นิวยอร์กสร้างแรงสั่นสะเทือนให้ภาคธุรกิจ หลังซอฮ์ราน มัมดานี ผู้สมัครสาย “สังคมนิยมประชาธิปไตย” มีคะแนนนำเบื้องต้นเหนือแอนดรูว์ คูโอโม ตัวเต็งสำคัญ ซึ่งถูกมองว่าอาจเป็นความเสี่ยงต่อสถานะศูนย์กลางการเงินโลก
นโยบายหาเสียงของมัมดานี ทั้งการตรึงค่าเช่า รถเมล์ฟรี และอุดหนุนร้านขายของชำ สร้างความกังวลว่าอาจซ้ำเติมปัญหางบประมาณ และผลักดันให้ธุรกิจและผู้คนย้ายหนีจากเมืองเพื่อเลี่ยงภาระภาษีที่อาจสูงขึ้นในอนาคต
ด้านอสังหาริมทรัพย์ เคนนี เบอร์โกส จากสมาคมอะพาร์ตเมนต์นิวยอร์ก ชี้ว่านโยบายตรึงค่าเช่าสี่ปี “ไม่ต่างอะไรกับการปล่อยให้อาคารทรุดโทรมจนอยู่อาศัยไม่ได้” เพราะเจ้าของขาดทุนบำรุงรักษา ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่มองต้นทุนตามความเป็นจริง
เช่นเดียวกับธุรกิจค้าปลีก จอห์น แคทสิมาทิดิส เจ้าของเครือซูเปอร์มาร์เก็ต Gristedes และ D’Agostino ตั้งคำถามถึงนโยบายอุดหนุนร้านขายของชำว่า “ถ้าเมืองเปิดร้านของตัวเองแล้วแจกของฟรีโดยใช้งบประมาณ แล้วภาคเอกชนอย่างเราจะเอาอะไรไปสู้กับรัฐบาลท้องถิ่นได้”
ปฏิกิริยานี้สะท้อนในตลาดหุ้น โดยหุ้นธนาคารอย่าง Flagstar ร่วง 3.8% ขณะที่แอนโทนี ปอมปลิอาโน นักลงทุนรายใหญ่ กล่าวว่า คำว่า “ย้อนแย้ง” ยังน้อยเกินไปที่จะอธิบายสถานการณ์ที่นักสังคมนิยมกำลังจะได้กุมหัวใจของระบบการเงินโลก
ทั้งนี้ ชัยชนะของมัมดานีได้แรงหนุนจากชาวเมืองที่ต้องดิ้นรนกับค่าครองชีพ โดยเฉพาะค่าเช่าเฉลี่ยในแมนแฮตตันที่พุ่งทะลุ 4,571 ดอลลาร์ต่อเดือน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้คนออกมาลงคะแนนให้เขาอย่างท่วมท้น
อย่างไรก็ดี เส้นทางสู่ตำแหน่งยังไม่จบสิ้น เพราะต้องรอผลสุดท้ายจากระบบจัดลำดับคะแนน และยังต้องลงสู้ศึกเลือกตั้งใหญ่เดือนพ.ย. ซึ่งมีคู่แข่งทั้งนายกเทศมนตรีคนปัจจุบัน เอริก อดัมส์ และเคอร์ติส สลิวา จากรีพับลิกัน
ขณะเดียวกัน ผู้บริหารเฮดจ์ฟันด์หลายรายแสดงความไม่พอใจอย่างเปิดเผย แต่มาร์ก แชนด์เลอร์ นักกลยุทธ์การตลาด กลับมองต่างมุม โดยกล่าวถึงกระแสข่าวคนจะย้ายหนีว่า “ถ้าทุกครั้งที่ผมได้ยินเรื่องนี้แล้วได้เงิน ป่านนี้ผมคงรวยจนไม่ต้องทำงานแล้วล่ะ”
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (26 มิ.ย. 68)